พลังอำนาจของ ‘น้ำใส’ ณ บ่ายวันหนึ่ง วันที่ร่างกายของฉันกลายเป็น ‘ความหมาย’
Mardi Soir #8 a review on WATER DELICACIES WITH ‘น้ำใส’ RECIPES By Benjarat Aiemrat (EYP 7, BACC, Bangkok 2024)
1. ทำความเข้าใจ
บ่ายสองวันนั้นในเดือนมกราฯ ฉันมีนัดพูดคุยเรื่อง ‘น้ำ’ กับคุณเบน เบญจรัตน์ เอี่ยมรัตน์ หญิงสาวที่ฉันนิยามเองเออเองว่าคือนักออกแบบขนมผู้ลึกลับ ที่สามารถหันเหความสนใจของคุณออกจากผัสสาอารมณ์บนร่างกายของตัวคุณ รสชาติและความอร่อยไม่ใช่ประเด็นบนโต๊ะอาหาร (ขนม) ของคุณเบน แต่สิ่งที่คุณจะรับประทานเข้าไปคือ ความหมาย เรื่องราว ภาพลักษณ์ และรูปแบบ ณ ขณะที่นั่งและเคี้ยวสัมผัสของการตีความ การยืนยันของความหมายจากภายนอกดังเด่นชัด (พอๆกับรูปแบบของขนมที่หน้าตาน่ารักไปหมด) ‘ความหมาย’ ชัดเจนเสียจนแม้หน้ากระดาษหรือสีหมึกก็ดูน่ากินขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันกับที่ตัวตนและความรู้สึกถึงเปรี้ยว หวาน ขม เค็ม เผ็ด จืด ไร้รสชาติ เย็น ร้อน หนึบ ร่วน กระด้าง ลื่น ฯลฯ ของร่างกายของคุณเองจะถูกพับซ่อนไว้ที่อื่นไกลๆ เพราะความหมายผ่านภาษาที่โต๊ะนี้ต้องการกว้างใหญ่กว่านั้น กว้างใหญ่ไปไกลถึงน้ำฝนรสชาติเหมือนวิสกี้ในแอนตาร์ติกา หรือรสชาติของน้ำฝนในอดีตกาลไกลกับอาหารของคุณยายในความทรงจำ ความหมายเรื่องน้ำของ ‘ผู้คน’ อื่น หลากหลายประดังประเด จนกลืนกินผัสสาทางกายสัมผัส ณ ปัจจุบันขณะเหล่านั้นของปัจเจกไปเสียสิ้น (หรืออย่างน้อยก็บนตัวฉัน)
จากที่เคยไปเป็นผู้เข้าร่วมประสบการณ์ที่คุณเบนจัดมาทั้ง 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันพอจะเริ่มเข้าใจที่มาที่ไปของความไกลห่างทางผัสสาอารมณ์บนร่างกาย ก็เมื่อตอนบรรยากาศของการ ‘ทำความเข้าใจ’ บังเกิดขึ้นอีกครั้งที่นี่ ตอนที่ผู้เข้าร่วมสนทนา พวกเราทั้ง 5 คนเริ่มพูดคุยถึงสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับ ‘น้ำ’ ผ่านเซ็ทคำถามของคุณเบน บนผลงานของคุณเบน ที่จำลองโต๊ะบาร์ครัวในคอนโดเป็นพื้นที่ให้พวกเรานั่งสนทนากลางห้องจัดแสดงในหอศิลป์ฯแห่งกรุงเทพฯ ขณะทานขนมวากาชิที่คุณเบนทำ และมีผู้ชมงานศิลปะเดินผ่านไปมาบ้างหยุดดู บ้างถ่ายรูปและวิดิโอ โดยที่ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขาได้ยินสิ่งที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ตรงนั้นไหม
2. WATER DELICACIES WITH ‘น้ำใส’ RECIPES
‘ทำความเข้าใจ’ น่าจะเป็นวลีสำเร็จรูปสำหรับฉันในการรับชม (หรือมีปฏิสัมพันธ์) กับผลงานนี้ หรือแม้กระทั่งกับความลึกลับในตัวศิลปินที่ฉันนิยามเองเออเองไปเมื่อช่วงต้น สำหรับฉันที่อาจคุ้นชินกับจริตจะก้านของผลงานที่กระตุ้นความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะเชิงทัศนะ ศิลปะการแสดง การละคร หรือแม้กระทั่งศิลปะเชิงแนวคิด หากเปรียบเทียบอย่างง่ายๆ ผลงานของคุณเบนคงเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับงาน The Scream (1893) ของ Edvard Munch ที่แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกรู้สาอย่างเปิดเผย แม้ฉันจะชอบที่ความเข้าใจของฉันในฐานะผู้เสพนั้นมาทีหลังความจริงแท้ของความรู้สึกบนร่างกายเสียมากกว่าการจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจการตีความของคนอื่น(ตัวศิลปิน) ฉันมองว่าปฏิสัมพันธ์ที่ยุติธรรมเป็นสิ่งที่ต้องพบกันครึ่งทาง แต่ความลึกลับนี้ก็ทำให้ฉันสงสัย ยังไงก็อยู่ที่นั่นแล้ว ฉันใช้เวลาสักพัก ในการเดินวนอยู่ในเขาวงกฎ
นอกจากพื้นที่คล้ายบาร์ครัวรูปตัวแอล ยังมีกล่องไม้ที่คล้ายๆตู้กับข้าวโบราณ แต่ดีไซน์มินิมอลและโมเดิร์นกว่านั้น ทำจากไม้โทนสีที่ให้บรรยากาศอยู่ในโซนจัดวางสินค้าตัวอย่างของมูจิ เป็นชิ้นงาน interactive วางปิดอยู่ข้างๆ หลังจากที่พวกเราพูดคุยกันเรื่อง ‘น้ำ’ เสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเดินชม ในกล่องไม้มีซอกมุมให้ผู้ชมเปิดได้ ในนั้นเต็มไปด้วยกระดาษโน๊ตการวิจัยผลงานชิ้นนี้ สิ่งที่ซ่อนอยู่คือกระบวนการผลิตนั่นเอง ด้านหลังตู้เป็นหน้าจอ ฉากวิดิโอบันทึกเทปของบทสนทนาเกี่ยวกับ‘น้ำ’ แบบเดียวกันกับที่ฉันทำไปเมื่อสักครู่ ซึ่งถ้ามองจากด้านหน้า จะไม่เห็นว่ามีจออยู่ที่หลังตู้เลย และฉันก็เริ่มสัมผัสได้ถึงการปรากฎตัวออกของเด็กขี้อายที่กำลังชวนเล่นซ่อนหา มากไปกว่าที่จะสนใจ ‘เนื้อหา’ ของ ‘น้ำ’ ที่วางอยู่เต็มไปหมดให้ฉันได้เปิดอ่าน (เนื้อหาที่ว่า รวมถึงบันทึกการตีความเรื่องน้ำ, สูตรทำขนม, บทสัมภาษณ์เรื่องน้ำของคนทำอาหาร9คน, หนังสือการ์ตูนเกี่ยวกับน้ำ, ฯลฯ)
ระหว่างที่เปิดอ่านบันทึกที่อยู่ในตู้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงาน texts ฉันพบเสียงอื่นๆ เสียงของผู้คนอื่น ความหมายอันแตกต่างเกี่ยวกับน้ำใน “ ” (qoutations) ถูกรวบรวมไว้บนผลงานนี้ ราวกับนี่คือหยดน้ำใสหยดหนึ่ง ที่ทั้งสะท้อนและดูดกลืนสรรพสิ่งภายนอกเอาไว้ด้านในมัน ตามคำที่น้อยหน่า (ผู้เข้าร่วมสนทนาอีกคนหนึ่งในวันนั้น) ได้พูดถึงตอนตีความวัตถุทรงกลมใสที่เธอนำมาด้วย
ฉันเหลือบไปมอง pocket book ที่ให้เป็นของที่ระลึกการมาร่วมสนทนา บนปกสีขาวสะอาดตาเหมือนความว่างเปล่า มีภาพวาดพายุด้วยดินสอ ไว้ตรงกลาง ชื่อที่ฉันตอบในฟอร์มคำถามว่าถ้าให้ชื่อเกี่ยวกับน้ำอยากชื่ออะไร แม้กระทั่งฟอร์มของหนังสือเล่มนี้ยังคงความเป็นหยดน้ำ ที่ทำหน้าที่ทั้งสะท้อนและโอบอุ้ม ‘ผู้คน’ อื่น เอาไว้ ในตัวเล่มก็อัดแน่นไปด้วยเศษเสี้ยวตัวตน (ในรูปแบบของการจัดวาง transcripts) ของหลากหลายผู้คนที่ปฏิสัมพันธ์กับกระบวนการผลิตผลงานนี้เช่นกัน
บนความสลับซับซ้อนเล่นซ่อนหาของชิ้นงาน ฉันคิดว่าฉันอาจยังไม่ได้พบกับคุณเบนมากเท่ากับปฏิสัมพันธ์ของตัวฉันเองกับผลงาน และการพยายามทำความเข้าใจกับความหมายต่างๆนาๆของคนอื่น และฉันก็พบ (เดาเอา)ว่าสิ่งนี้อาจเป็น ‘น้ำใส’ ที่คุณเบนหมายถึง ผลงานนี้อาจมีความตั้งใจที่จะเป็นแก่นกระดูกสันหลังให้กับ ‘ผู้คน’ ได้ปฏิสัมพันธ์กับ และแลกเปลี่ยนกันบน ‘ความหมายของน้ำ’ แต่ในเวลาเดียวกัน ในมุมมองของฉัน ตัวผลงานก็มีธงอยู่แล้วในการวางตัวเป็นผู้โอบรับและอุ้มชูความหมายอันหลากหลายของผู้คนที่ไปปฏิสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับผลงานเองตั้งแต่ต้น
เหมือนกับหยดน้ำที่กลับด้านทุกสิ่งภายนอกที่มันสะท้อนเข้าไปในเนื้อหนังของมัน แม้ทั้งหมดจะเป็นภาพสะท้อนจากด้านนอก นัยยะของการกลับด้านกลับให้ความรู้สึกถึงพลังอำนาจที่ไพศาลครอบสรรพสิ่งไว้ หยดน้ำนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ ใส่ความหมายอะไรเข้าไปก็ได้ และจริงๆแล้วไม่ได้มีความหมายในตัวมันเอง ความหมายของคนอื่นๆนั่นแหละคือความหมายของหยดน้ำหยดนี้ ทั้งหมดนี้ ถ้าเพียงในขอบเขตของการตีความของฉันเอง จึงนับว่าเป็นการออกแบบที่แยบยล
3. ในมุมมองของ และสะท้อนออกจากคำว่างานศิลปะ กับวิถีชีวิตบนโลกดิจิตอล
อีกประเด็นที่ฉันสนใจในการเข้าร่วมสนทนาและรับชม(ปฏิสัมพันธ์) กับงานในบ่ายวันนั้นคือรูปแบบของงานที่มีทั้งความเป็น interactive object และอาจเป็น performing art ในเวลาเดียวกัน ในเสี้ยววินาทีที่จะเริ่มบทสนทนาและ ผู้ดูแลนิทรรศการได้นำเสากั้นทางเดินสีแดงมากั้นอาณาเขตระหว่างผู้เข้าร่วมสนทนากับผู้รับชมงานศิลปะอีกทีข้างนอก ตอนนั้นฉันก็พบว่าบทบาทของฉันไม่ใช่ผู้รับชมอีกต่อไป ช่วงขณะหนึ่งในบ่ายวันนั้น ร่างกายของฉันกลายเป็นความหมายของผลงานอีกที และเสียงของบทสนทนาของพวกเราจะถูกบันทึกเอาไว้และอัพโหลดให้ฟังซ้ำได้บน Sound Cloud (ช่วงหลังจากที่พูดคุยกันเสร็จแล้ว ฉันเดินออกจะโต๊ะและหันกลับมามองผลงานจากมุมนอก เดินกลับเข้าไปใหม่ และเดินออกมาอีกครั้ง เพื่อรับรู้ถึงระยะใกล้-ไกลของตัวฉันกับผลงาน อาจเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่พยายามจะแยกตัวเองออกจากชิ้นงาน บันทึกเหตุการณ์ และเห็นบทบาทกับตำแหน่งแห่งที่ของมันให้ชัดเจนขึ้น)
การออกแบบภาพของผลงานลักษณะนี้ทำให้ฉันฉงนสงสัยปนสนใจกับรูปแบบของงานศิลปะ โดยเฉพาะเชิงแนวคิด (Conceptual art)ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ที่คงจะแยกขาดกันไม่ได้กับวิถีชีวิตผู้คน Digital-Self ดูจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และก็เป็นเรื่องที่น่าหยิบยกมาพูดคุยถึงพลวัตทางอำนาจของผู้แสดงและผู้ชม ผู้ถูกเห็น และผู้เห็น, ผู้พูด และผู้ได้ยิน, หรือแม้กระทั่ง ความจริงในโลกทางกายภาพกับโลกเสมือน ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นในทิศทางตรงเสมอไป แต่ดูจะกระจัดกระจายและทำให้ดูเหมือนจะ ‘กลายเป็นประชาธิปไตย (democratised)’ จนน่าอลม่าน ในขณะเดียวกันกับที่ อำนาจของ AI และ digital platforms ก็ดูจะแข็งแกร่งกว่าผัสสาทางชีวภาพของร่างกายเราเองอยู่ดี ราวกับจะมาทำหน้าที่คล้าย ‘หยดน้ำ’ ที่เป็นพื้นที่ดูดกลืนผู้คนไว้ในนั้น
“เวลานั่งคุยกันบนโต๊ะอาหาร ทุกคนเท่ากัน” คุณเบนพูดขึ้นตอนที่เรานั่งสนทนากันอยู่ตรงนั้น ณ เวลานั้น ฉันเข้าใจความหมายนั้น แต่เพียงแค่ในบริบทของอาณาบริเวณสุดขอบของโต๊ะบาร์นั้นที่พวกเรานั่งกันอยู่ เพราะฉันไม่แน่ใจว่า ‘ความเท่าเทียมกัน’ ของพวกเราที่นั่งคุยกันอยู่หลังเสากั้นทางเดินกับสายสีแดงสุดคลาสิคในห้องจัดนิทรรศการ กับผู้ชมอีกด้านของเสากั้นที่ถือไอโฟนอัดภาพที่พวกเราคุยกันอีกทีอยู่นั้น ทำงานสัมพันธ์กันด้วยพลวัตแบบไหนในโลกออนไลน์ พอลองนึกๆดู มันอาจจะมีหลากหลายความหมายและไร้ความหมายในเวลาเดียวกัน เมื่อทุกอย่างถูกลดทอนเหลือเพียงภาพในจอดิจิตอลสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง
ผลงานเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ EYP7 A Change in Paradigm ชั้น 7 หอศิลป์ฯแห่งกทม. จัดแสดงถึงวันที่ 21 เมษายน 2024