ขาว ดำ เทา เรื่องตลก ที่ทำให้ขำออกมาเป็นเสียงหัวเราะแบบ Masterpiece
Mardi Soir #4: Milan Kundera, 1967 (แปลไทย ภัควดี วีระภาสพงษ์, 2022)
‘เรื่องตลก’ — วรรณกรรมเล่มแรกของมิลาน คุนเดอราในปี 1967 กับฉบับแปลไทยครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว(2022) ส่วนเราที่เคยอ่านงานของมิลาน คุณเดอราครั้งแรกก็คือฟิน เป็นเรื่องตลกร้ายคุณภาพแบบ Masterpiece กับความยาว 320หน้าภาษาไทย ที่ไม่ได้ย่อยง่ายหรือยากเกินไป อัดแน่นไปด้วยการเปลี่ยนผ่านทางมุมมองกับค่านิยมทางการเมืองแห่งยุคสมัย (ช่วงรุ่งเรืองของพรรคคอมมิวนิสต์แบบสุดโต่งในเชโกสโลวาเกีย กับการรุกรานของสตาลิน) ที่เหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับนักอ่านเบบี๊รอบบินต่ำอย่างเรา แต่วิธีการเล่าเรื่อง ผ่านภาษาทางความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ที่มีความเป็นเรื่องส่วนตัว ผ่านขั่วตรงข้ามของความเป็นเมือง-ชนบท, ดนตรีพื้นบ้าน-ดนตรีร่วมสมัย, อเทวนิยม-คริสตจักร กลับทำให้เชื่อมโยงกับบริบททางการเมืองของโลกตัวเองได้ง่ายดี สนุกระหว่างอ่าน แล้วค่อยไปเปิดประวัติศาสตร์อ่านต่อทีหลังก็ยังได้
ว่าด้วยเรื่องของ ‘ลุดวิก’ ปัญญาชนที่ตั้งใจกลับมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัวที่เมืองบ้านเกิด แต่อ่านไปอ่านมามันกลับไม่ใช่เรื่องของลุกวิด แต่เป็นเรื่องตลก หนังสือแบ่งเป็น7ภาค ที่แต่ละภาคปล่อยให้ผู้อ่านได้เป็นผู้สังเกตการณ์ความรู้สึกนึกคิดและทัศนคติต่อการใช้ชีวิต ของตัวละคร 4 บุคคล — ลุกวิด, เฮเลนน่า, ยาโรสลาฟ, คอสต์กา ที่ชีวิตเกี่ยวโยงกัน แต่มีมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างสุดโต่ง และที่ทำให้เรื่องมันตลกก็คือ พออ่านๆไป ในมุมของแต่ละคน คนอีกคน (กับตัวละครอื่นๆที่ถูกทำให้เป็นตัวละครหลักจากโลกในสำนึกของคนที่ได้เล่าเรื่องอย่าง ลุตเซีย หรือ เซมาเน็ก)กลับถูกมองเห็นในแต่ละแบบที่แตกต่างกันไปเลย สำหรับคนหนึ่งคนอีกคนอาจสำคัญกับชีวิตมาก แต่พอมาในมุมของอีกคนเขาอาจเป็นเพียงตัวประกอบ หรือแม้กระทั่งเป็นตัวละครภาพแบนๆที่จินตนาการขึ้นไปเลย จนพออ่านภาคนึง แล้วไปอ่านอีกภาคนึงต่อ เราถึงกับ อ้าว! นี่มันคนละเรื่องเดียวกัน เข็มคนละด้าน ผ้าคนละมุม 555
ที่ประทับใจคือมิลาน คุณเดอราสามารถทำให้ผู้อ่านอย่างเรา convinced ไปกับทัศนคติของแต่ละตัวละครที่มีมุมมองแตกต่างกันอย่างสุดโต่งได้อย่างแยบยล จากช่วงแรกๆของเล่มที่มีความเป็นขาว เป็นดำ คู่รัก คู่แค้น หรือความเป็นขั่วตรงข้ามของตัวตนที่ยึดโยงกับอุดมการณ์ ขนบ และชนชั้นทางสังคมหรือการศึกษา ให้บรรยากาศของผู้คนในสังคมที่เป็น ก้อนๆ เป็นกลุ่มๆ เป็นขั่วแบบ dualism จัดๆ จนตอนหลังๆที่เรื่องมันเริ่มตลกขึ้นทุกทีๆ ทุกอย่างก็ดูกลมขึ้น เป็นสีเทาๆ ปนๆ จนภาค7บทสุดท้าย ที่เหมือนบทบรรเลง finale อลม่าน เป็นเอกเทศ และสะท้อนตัวตนภายใน ตะลุมบอน จนขำออกมา พาผู้อ่านตั้งคำถามต่อถึงจุดยืนของมนุษย์เราและตัวเราเอง ว่า แก่น มีจริงไหม อิสระภาพคืออะไร ที่เรายึดถืออุดมการณ์อะไรบางอย่าง ความคับแค้นข้องใจ ความศรัทธา หรือความรัก ไว้แน่นจนเป็นตัวเป็นตนนั้นมันก็อาจเป็นเพียงกระจกสะท้อนละครเงาในอดีตของเราเอง ทำให้เห็นชัดเจนถึงภาพของการเปลี่ยนผ่าน การไหลลื่นดำเนินไปของเวลา และความเป็นยุคสมัย โดยไม่มีอคติทางการเมืองซะขนาดนั้น (ก็คือ God’s eye viewสุดๆ) บวกกับการแปลเป็นภาษาไทยที่เพราะและมีชั้นเชิงมาก ได้อ่านเล่มนี้เป็นภาษาไทยทำให้นึกถึงคำว่า ’คลาสสิค’ กับ Masterpiece ว่าอ๋อมันเป็นแบบนี้
สุดท้ายขอแวะรีวิว form อ่านจบปิดเล่มเห็นดีไซน์ปกคือเข้ากับความรู้สึกที่ได้จากเนื้อหา เป็นภาพกระดาษที่ถูกฉีกและขยำจนไม่มีด้านไม่มีมุม นึกถึงความไม่สลักสำคัญ ความไร้สาระ ไร้แก่นสาร แต่ในเวลาเดียวกันกระดาษแต่ละชิ้นก็มีหลายมุมกับหลากเรื่องราวที่ซ้อนทับกันเต็มไปหมด ซื้อแบบhardcoverมา นอกจากความสวย(มาก)แล้วคือเป็นสันที่เปิดได้180องศาแล้ววางอ่านบนโต๊ะได้สบายๆสันปกไม่เยิน