Quick Journal: The Piano Teacher (2001), Michael Haneke
เพิ่งสมัคร Mubi รายปีไป ประเดิมเรื่องแรกด้วย ครูเปียโน หนังอีโรติก, จิตวิทยา,ทริลเลอร์ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของครูเปียโนเก็บกดกับนักเรียนหนุ่มที่มาจีบ เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ในงานเปิดตัวหนังสือชื่อเดียวกันของนักเขียนรางวัลโนเบล #ElfreideJelinek ฉบับแปลไทย เพิ่งรู้ว่ามีเป็นหนังด้วย แล้วนักแสดงนำคือ Isabelle Huppert นังผีบ้าในGreta กะ Elle ทำไมถึงมาเล่นหนังออสเตรียหว่า น่าสนใจ เริ่มมาเลยรู้ว่าอ่อเป็นหนังภาษาฝรั่งเศส ที่อูแบลต์แสดงดีมากๆๆๆ แต่เป็นเรื่องที่ดูแล้วอึดอัดมาก Disturbed ด้วยการจัดวางภาพและอื่นๆที่ย่อยยากเหลือเกิน ว่าอะไรบ้างนะที่ทำให้อึดอัด ผ่านมาอาทิตย์นึงละ ลองมาตกตะกอนตรงนี้
*Spoiler Alert*
การจัดวางที่สวยเกินไปกับสีโทนซีดจืดๆแบนๆไม่มีอะไรมีมิตินอกจากพื้นสัมผัสเงาๆของแกรนด์เปียโน ตอนแรกๆก็ว่าสวยดี แต่พอดูไปสักพักเริ่มรู้สึกว่าความเป๊ะเกินทำให้อึดอัด และคิดว่าเป็นความตั้งใจdictate ทุกอย่างกรอบกรง มีฉากเข้าออกประตูบ่อยมาก และมีแต่ซีนในห้อง,ในอาคาร ฉากถ้ำมองของตัวละครเอกก็เยอะ แม้แต่ฉากการแสดงเปียโนก็อึดอัดด้วยสายตาของผู้ชม
แต่สิ่งที่ทำให้อึดอัดสุด นอกจากบทด้วยแล้ว คงเป็นตัวละครหลักที่มีความstrict หน้าตายไร้ความรู้สึก ขนาดเล่นเพลงของคีตกวีที่นางเชี่ยวชาญ ยังสื่อออกมาแบบแข็งๆ(นางบอกว่านางเข้าใจเค้าที่สุด มันต้องแข็งแบบนั้นแหละ) แล้วก็ไปสอนนักเรียนต่อแบบแข็งๆอีก มีซีนที่ นักเรียนใช้ความรู้สึกตัวเองเล่นแล้วดัน(เราฟังว่า)เพราะ นางก็จะมาบอกว่าสื่อผิดแล้วๆ ต้องแบบนี้ๆ (ชอบซีนนี้ ที่บังคับอ่านศัพท์ที่กำกับในโน๊ตพวก piano, allergo, crescendo อะไรพวกนั้น ขนาดอารมณ์ยังทำตามกฎเป๊ะ 555) กับความต้องการควบคุมเบ็ดเสร็จและพฤติกรรมทางเพศบิดเบี้ยวอันประทุออกจากความเก็บกดของนางที่ค่อยๆเผยให้คนดูเห็น
ระหว่างทางที่ดูไปรู้สึกรังเกียจเหยียด แต่ก็เห็นอกเห็นใจในเวลาเดียวกัน ตรงนี้มั้งที่รู้สึกอึดอัด เลือกไม่ได้ เริ่มลังเลว่าจะโทษนางที่เป็นแบบนี้ที่ตัวนางเอง หรือเพราะขนบสังคมทำให้นางเป็นแบบนี้ ด้วยพรอตที่แสดงให้เห็นว่าอาศัยอยู่แต่กับแม่ที่ขี้บงการ แต่มีอาชีพแบบhigh culture มากกกก ก็คือการไต่เต้าจนเป็นครูเปียโนที่ดูสูงส่งดุจหงษ์ แต่ชีวิตก็วนอยู่แค่นั้น พฤติกรรมหลังๆของวอลแตร์ (นักเรียนที่มาจีบ เป็นเด็กผู้ชาย old rich บ้านรวยนักเสพดนตรีคลาสสิค สมัครเรียนเพื่อจีบครูโดยเฉพาะ) เลยทำให้เรารู้สึกหมั่นไส้ปนอิจฉา ว่าสบายจังวะ ในเกมความสัมพันธ์นี้
กว่าจะได้ชอบเรื่องนี้ คือตอนฉากจบ เป็นฉากเดียวที่เหมือนมีอากาศหายใจ ตอนที่นางครูเปียโนแทงไหล่ตัวเอง เลือดไหลออกมา และหันหลังเดินออกจากอาคารที่จะต้องขึ้นแสดง ทิ้งคนดูทั้งฮอล เหมือนที่ ‘ฮึบ’ มาทั้งเรื่อง ฉากนี้ช่วยให้ได้หายใจโล่งนิดนึงก่อนตัดจบ ซึ่งถ้าให้คิดตามต่อชีวิตตัวละครก็คงกลับไปฮึบต่ออยู่ดีหลังจากได้สูดอากาศโปร่งนอกอาคารนั้นไม่กี่ชั่วโมง แต่อย่างน้อยซีนนั้นก็เป็นการพยายามเผชิญหน้ากับตัวเองเล็กๆในแบบของนาง ดีใจมากที่คนดูได้เห็น 🌬💧🩸
สรุป เป็นหนังที่ใจร้ายและหนักมากๆ ทั้งๆที่ความหนักนั้นมีแค่ความอึดอัดล้วน ไม่ได้ให้อะไรอย่างอื่นเหมือนที่ครูเปียโนไม่ยอมให้อารมณ์ใดๆออกมาจากร่างกายเลย และเดาว่าเป็นการตั้งใจทำ ไม่ชอบการนำเสนอแบบนี้เพราะมันรบกวนมากๆ แต่กับเรื่องนี้มองว่าเนื้อหาจะต้องใช้การนำเสนอแบบนี้ถึงจะสอดคล้องกัน ถือว่าเป็นการนำเสนอแบบใหม่ๆที่เคยได้ดู ♥️👌🏻
อยากจะนิยามว่าเป็นหนังเฟมมินิสต์ แต่พอใช้คำนี้แล้วก็เหมือนความรู้สึกเราต่อหนังถูกลดทอน กลายเป็นเรื่องcollective อีกแล้ว น่าประหลาด (และตลก) ที่แค่การใช้ ‘คำ’ ก็ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป จะบอกว่าเป็นหนังเฟมมินิสต์(ซึ่งไม่รู้ละว่าคำนี้ในปัจจุบันไหลไปถึงความหมายแบบไหน) เราก็รู้สึกว่ามันกลายเป็นเรื่องของการวิเคราะห์ตีความและพยายามโยงเข้าประเด็นสังคม แหม ข้อมูลไม่แน่น ทำมาเป็น! (อันนี้ตัดสินตัวเองจากสายตามุมนอกอีกที 👀 ดีเฟนไว้ก่อนในยุค PC และ Cancel)
กลับมาส่วนตัว เอาจริงๆ ความรู้สึกอึดอัดนั่นแหละ มันอธิบายไปหมดแล้ว และความรู้สึกแบบimplusiveตอนที่ดูมันจริงแท้ที่สุด ครูเปียโนที่เป็นนังผีบ้าที่เรารังเกียจเหยียดรำคาญตลอดเรื่องในเวลาเดียวกันมันไม่ใช่เรื่องส่วนตัว มันคือขนบต่างหากที่ทำให้นางต้องกลืนอมทุกอย่างไว้ข้างในเยอะขนาดนั้น (นึกถึงฉากอ้วก หลัง blow job อึดอัดมาก แต่มาคิดตอนนี้ ดีมากกที่มี) จริงๆคนที่ถูกมองว่าผิดเพี้ยนนั่นแหละที่กำลังโอบรับบาดแผลทางสังคมแทนคนอื่น แล้วมันตลกที่ปัจจุบันมันก็ยังเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะยังก่นด่าว่านังผีบ้ามนุษย์ป้าจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือต้อง suck it up เพราะมันคือเรื่องของเธอเอง กดกระทืบซ้ำๆ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบเดิมๆ น่าสลดใจและเศร้ามากๆที่คนที่กระทืบก็หารู้ไม่ว่าก็ติดอยู่ในบ่วงเดียวกัน ทำไปโดยไม่ได้สำเนียกถึงอำนาจในมือ (แม้ไม่ได้ผิดอะไร) ปกป้องอำนาจชอบธรรมของตัวเองโดยอัตโนมัติผ่านการกรีดแผลเดิมวนไปซ้ำๆ สลดกว่าอีกคือที่นังผีบ้าก็ไม่สำเนียกเหมือนกัน ต้องพยายามไปเรื่อยๆเพื่อ disguise แสร้งว่ามีอำนาจเท่าเทียม เพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่รู้อีกว่าถ้าทำต่อไปก็เป็นทั้งเหยื่อทั้งตัวการบ่มเพาะการกดทับแบบเดิมๆให้ใหญ่โตต่อไปไม่รู้จบ
โกรธ จบด้วยการบ่น