Post-Consumerism แนวคิด ‘หลังบริโภคนิยม’ กับการดื่มด่ำความหมาย ที่มา การเชื่อมโยงกับธรรมชาติ และความปิติในการปฏิเสธวัตถุ: เติมเต็มช่องว่างในจิตใจ หรือเป็นเพียงอีกก้าวของทุนนิยม?
โดย เจนจิรา จินตนาเลิศ
สังคมโลกกำลังเหนื่อยหน่ายและอิ่มตัวกับวัฒนธรรมบริโภคนิยมจริงหรือ? หรือเรามาไกลเกินกว่าที่จะหนีจากการเป็นผลผลิตซ้ำซากของโลกแห่งทุนนิยมไปเสียแล้ว? บนโลกที่ความรื่นเริงใจของเราถูกยืดโยงกับสินค้าที่มากเกินไป เสื้อผ้าที่มากเกินไป อาหารที่มากเกินไป และความสำเร็จทางสังคมถูกตัดขาดจากความต้องการทางอารมณ์และจิตใจ ความรักคืออะไรในโลกที่รวดเร็วฉาบฉวย? ความหลงไหลใคร่รักในสิ่งที่ทำ ณ ปัจจุบันขณะมีอยู่จริงหรือ? เมื่อเวลาในชีวิตส่วนใหญ่ต้องถูกแบ่งเพื่อนำไปใช้ในการต่อยอดชีวิตในอนาคต ทั้งเม็ดเงินเลี้ยงปากท้อง ทั้งเม็ดเงินที่ต้องนำไปซื้อทุนทางสังคมและทุนทางวัฒนธรรม พร้อมๆกับการเป็นฟันเฟืองให้กับการพัฒนาไปของระบบที่ตัวเราแทบจะวิ่งตามมันไม่ทัน ภาพฝันในอนาคตเมื่อวิ่งไปถึงแล้ว แน่ใจได้ไหมว่ามันจะไม่มีด่านต่อไปให้ไปต่อ?
หรือเรามาไกลเกินกว่าที่จะต้องพูดถึงมันอีกต่อไปแล้ว?
หรือวัฒนธรรมนี้นี่แหละที่ประกอบสร้างตัวตนที่แท้ของเราตั้งแต่เรากำเนิดเกิดมา?
หรือนี่แหละเป็นหนทางที่ยังทำให้เราได้ยึดโยงกับคนอื่นๆรอบตัว ถึงภายในบอบซ้ำกลวงเปล่า?
แต่แค่นี้ก็คงไม่เหงาเกินไป?
หรือเราเพียงต้องวิ่งต่อไปและต่อไป?
บทความนี้ไม่ได้จะมาพูดถึงวิถีชีวิตพอเพียง ตามแบบฉบับที่จะพยายามมากดทับสิทธิเสรีภาพของความต้องการที่จะมีความสุขในการบริโภคที่ปัจเจกพึงคิดว่าดีกว่า หรือพูดพร่ำเพื่อเป็นข้ออ้างให้กับการไม่ต้องพัฒนาไปของสถานภาพด้านต่างๆ ณ ปัจจุบันขณะของโครงสร้างทางสังคมในประเทศไทยที่จำเป็นจะต้องถูกแก้ไขและพัฒนาต่อไปเป็นอย่างยิ่ง
แต่จะมานำเสนอแนวคิดในเพียงมิติของการบริโภค ที่เริ่มถูกแสดงให้เห็นในสังคมโลก — Post-Consumerism หรือ หลังบริโภคนิยม การบริโภคที่แสดงออกอย่างแอบๆ ถึงการต่อต้านระบบทุนนิยม อันเป็นที่มาของการเลยเถิดไปจนถึงการกำเนิดของระบบทุนนิยมเสรีใหม่ในปัจจุบัน ที่นั่นแหละ เป็นตัวการรากฐานของความเหลื่อมล้ำทั้งปวงบนโลกใบนี้ บนสนามแข่งขันชีวิตที่มีแต่การผูกขาด บนมายาคติของคำว่าเสรี ที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงมายาแห่งอิสระภาพของปลาในแอ่งน้ำวน
นิยมลดการบริโภค หรือ นิยมการบริโภคร่างพัฒนา?
พูดถึงคำว่า POST- ในบริบทที่มักถูกใช้อธิบายการ ‘วิวัฒนาการ’ และการ ‘แปลเปลี่ยน’ ของแนวคิดที่เคยปรากฎให้เห็นในสังคม วัฒนธรรม งานศิลปะ รูปแบบเศรษฐกิจ การเมือง วิถีชีวิต ฯลฯ POST- ใดๆ ก็ตาม มักคือการมาทีหลังของแนวคิดเดิมที่มีนัยยะทั้งในการต่อต้าน และพัฒนาต่อยอด จากแนวคิดนั้นๆในเวลาเดียวกัน
Post-Consumerism หรือ แนวคิด หลังบริโภคนิยม ที่ผู้บริโภคหันเหสู่การดื่มด่ำกับแนวคิดและเรื่องราวของสิ่งที่เสพ มากกว่าการโหยหาความสุขจากการได้ครอบครองตัววัตถุ หรือแม้กระทั่งรู้สึกปิติ (pleasure) กับการได้ปฏิเสธวัตถุ ได้เลือกที่จะบริโภคอย่างตริตรองมาแล้วและได้รู้ว่าการบริโภคของตัวเองเบียดเบียนทรัพยากรโลกและผู้อื่นน้อยที่สุด จะเห็นว่า มันคือเป็นขั้นกว่าของการบริโภคที่ได้ลดการบริโภคไปโดยปริยาย
แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากการตั้งคำถามระหว่างการเดินทางต่อของผู้บริโภคที่เหนื่อยหน่ายกับสภาวะอิ่มตัวของการใช้ชีวิตเพียงเพื่อบริโภคอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด วัฒนธรรมนี้เริ่มถูกแสดงให้เห็นแล้วในประเทศแถบยุโรป ที่ที่การบริโภคถูกอัดฉีดด้วยระบบจนถึงจุดอิ่มตัว ผู้คนเสพสุขจนท้องอิ่มแปล่ แต่ช่องว่างโหว่ของความต้องการข้างในยังเติมไม่เคยเต็ม
เคธ โซเปอร์ (Kate Soper) นักปรัชญาด้านสิ่งแวดล้อม การบริโภคและความต้องการของมุนษย์ (evironement, needs, and consumption) กล่าวว่าการบริโภครูปแบบใหม่นี้ ไม่สามารถแยกขาดจากการโหยหาธรรมชาติได้เลย เนื่องจากมนุษย์เกิดจากธรรมชาติและเป็นสัตว์สังคม ความต้องการที่แท้จริงภายในจึงคือการเชื่อมโยงกับเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งสินค้าและบริการสมัยใหม่ที่รับใช้ทุนและการพัฒนาต่อไปของเศรษฐกิจไม่อาจเติมเต็มความต้องการนี้ได้แต่กลับได้แต่คอยแยกมุนษย์ออกจากธรรมชาติและเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองต่างหาก ก่อเกิดเป็นความแยกขาดจากธรรมชาติของตัวเองกับผู้คนรอบข้าง เป็นบ่อเกิดของความเหงา อัตราที่เพิ่มขึ้นของปัญหาทางสุขภาพจิต และความขัดแย้งทางสังคม
ในภาคธุรกิจ การตอบสนองความต้องการแบบ post-consumerism ถูกแสดงให้เห็นจากการเกิดขึ้นของธุรกิจสุขภาพแบบองค์รวม หรือ Holistic Wellness ที่ผู้คนเริ่มจับจ่ายกับกิจกรรมที่ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ อย่างการทำกิจกรรมในป่าหรืออาบป่า (Forest Bath) การไปพักผ่อนในที่ๆได้มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนในชุมชนและสัมผัสวิถีชีวิตแบบอยู่กันเป็นหมู่คณะ (Community) เพื่อหนีจากชีวิตในเมืองที่แยกขาดจากความเป็นมนุษย์ในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งการทำกิจกรรมเป็นกลุ่มเองในเมือง อย่างเช่นการซื้อประสบการณ์ในการเข้ากระบวนการการเรียนรู้ต่างๆแบบกลุ่ม ( group workshops) ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติที่เข้าข่ายของการเดินทางสู่การบริโภคแบบหลังบริโภคนิยมนี้เช่นกัน
ส่วนในธุรกิจอาหาร ก็มีกระแส Farm to Table หรือการกินอาหารที่เซฟจะมาเล่าถึงที่มาที่ไปของวัตถุดิบที่นำมาใช้ ซึ่งก็คือการทำให้ผู้บริโภคได้รู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นผ่านอาหารที่ทาน หรือในอุตสาหกรรมแฟชั่น ก็มีการเกิดขึ้นของดีไซน์เนอร์หน้าใหม่มากมายหรือแม้กระทั่งการปรับตัวของแบรนด์เก่า ที่ใช้หลักแฟชั่นยั่งยืน (Sustainable Fashion) และหลักการออกแบบหมุนเวียนหรือ Circular Design ที่เน้นการออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติจนถึงที่สุด ลดการสร้างขยะจากการผลิต และไม่เบียดเบียนการใช้แรงงานทาสที่เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องธรรมดาในอุสาหกรรม Fast Fashion มาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน เพื่อตอบความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคผู้โหยหาการใกล้ชิดกับธรรมชาติ
เกิดขึ้นจริงเชิงโครงสร้าง หรือเป็นเพียงอีกหนึ่งเกมกระดาน ความเหนือกว่า ของชนชั้นกลาง?
โชเปอร์ได้นิยามคุณลักษณะของกลุ่มผู้บริโภคที่เดินทางมาถึงความต้องการที่จะตามหาความเหนือกว่าตน และความเหนือกว่าทางวัฒนธรรมที่เคยเกิดขึ้นแล้ว (Cutural and Self-transcendence) อันได้กรอบวิถีชีวิตเอาไว้ ว่ากลุ่ม Alternative Hedonist หรือ ผู้แสวงหาความสุขจากการถอนสเน่ห์ของโลกแห่งสินค้า (the dischantedment of the commodity world) ในวันที่ความหมายของคำว่า ‘ชีวิตดีๆ’ เปลี่ยนแปลงไป และเกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิเสธวัตถุหรือเลือกซื้ออย่างตริตรอง
ในที่ๆความสุขของคนเหล่านี้นั้นแตกต่างออกไปเมื่อเทียบกับความต้องการบริโภคในกระแสหลัก แน่นอน กระแสการบริโภคแบบนี้เกิดขึ้นในธุรกิจที่สนองความต้องการของชั้นกลาง ที่มีเวลาให้สำหรับการบริโภคอันหรูหราฟุ่มเฟื่อย ถ้าเช่นนี้แล้ว post-consumerism มีความสำคัญจริงหรือ? มันสร้างแรงกระเพื่อมอะไรได้บ้างในทะเลอันเกี้ยวกร้าดของโลกแห่งความไม่เท่าเทียมอันเลยเถิด ที่ประกอบสร้างด้วยวัฒนธรรมการบริโภคเองนั่นแหละ? หรือมันเป็นเพียงอีกหนึ่งกลไกการพยายามเหนือกว่าอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่โลกแห่งทุนนิยมได้ช่วยฉีดสารกระตุ้นทางจิตวิทยาแก่พวกเรามานานนับหลายทศวรรษ?
จุดต่างที่น่าสนใจของความต้องการในการแสวงหาความเหนือกว่าตนหรือ self-transcendence นั้นแตกต่างจากความต้องการที่เป็นลำดับขั้นแบบพื้นฐานของมนุษย์ที่ปรากฎในสามเหลี่ยม Hirarchy of Needs อันโด่งดังของนักทฤษฎีและนักจิตวิทยา Abraham Maslow ซึ่งเริ่มตั้งแต่ ความต้องการทางกายภาพ (physiological needs) ความต้องการความปลอดภัย (safety) ความต้องการความรัก (love) ความต้องการในการเคารพตนเอง (self-esteem) และความต้องการที่แท้จริงในชีวิต (self-actulisation) ที่กล่าวว่ามนุษย์จะเกิดความต้องการในขั้นต่อไป ก็ต่อเมื่อความต้องการก่อนหน้าของตนได้รับการตอบสนองอย่างแท้จริงในที่สุด แต่สภาวะความต้องการการเหนือกว่าตน ถูกอธิบายโดยมาสโลว์ว่า คือความต้องการที่จะเชื่อมโยงตนเองกับผู้คนและสรรพสิ่งต่างๆบนโลกนี้ เพราะสามารถรู้สึกได้ถึงความเป็นส่วนหนึ่งของตนกับจักรวาล และสามารถเกิดขึ้นได้เองในบุคคล ในตอนไหนก็ได้โดยไม่มีลำดับขั้น เพราะไม่ได้ยึดโยงกับปัจจัยภายนอก อย่างอาหารหรือเครื่องนุ่งห่มแก่ร่างกาย บ้านที่ใช้อยู่อาศัยเพื่อความปลอดภัย ครอบครัวหรือความสัมพันธ์ที่จะทำให้คนหนึ่งคนรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกถึงการได้รับความรัก แต่มันเป็นสภาวะทางธรรมชาติและจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นเองภายในจิตใจในบางช่วงขณะของชีวิต เมื่อไม่ถูกรบกวนโดยสิ่งเร้าอันแปลกปลอมมากเกินไป จึงสามารถเกิดขึ้นและเข้าใจได้โดยคนที่มีวิถีชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติได้มากกว่า และจึงไม่ได้เป็นความต้องการแบบเดียวกับการโหยหาที่จะเหนือกว่า (Needs to dominate) ในรูปแบบที่มนุษย์ถูกกระตุ้นให้มีเพื่อความอยู่รอด ซึ่งถูกฉกฉวยมาใช้อย่างตะบี้ตะบันในโลกของการตลาดแห่งทุนนิยมเสรีใหม่
กล่าวได้ว่า สภาวะโหยหาการเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติที่ post-consumerist กำลังตามหานั้นสามารถเกิดขึ้นได้นอกเหนือบริบทของการบริโภคปรุงแต่งอันเลิศล้ำโดยภาคธุรกิจตามที่ยกตัวอย่างไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นแนวคิดของการเสพสรรพสิ่งที่ลื่นไหล ที่อาจมีรูปแบบที่แตกต่างหลากหลาย นอกเหนือกฎเกณฑ์ของการบริโภคสินค้าในรูปแบบของทุนนิยม ซึ่งเป็นสภาวะที่จะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ และกับใครก็ได้ และในมุมของการบริโภค การที่บุคคลทำกิจกรรมใดเพื่อตอบสนองต่อ self-trandcendence ของตนเพื่อทดแทนการบริโภคตามแบบฉบับเดิมแล้ว ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เช่น การเดินชมธรรมชาติ หรือ การได้หาข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุดิบของอาหารที่ชอบโดยที่ยังไม่ต้องกินมัน ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นการปฏิบัติในรูปแบบของ post-consumerist ได้แล้ว
และในบริบทนี้ ความคิดแบบ Producer Versus Consumer ก็ได้สิ้นสุดลง ความคิดที่ว่า ผู้บริโภคคือ ’เหยื่อ’ ของระบบอาจถูกลดทอนลงได้ ด้วยการถ่ายโอนอำนาจของความต้องการเบื้องลึกมาเป็นเรื่องส่วนตัวที่ผู้เสพสามารถกำหนดเองได้ แทนที่จะเป็นเรื่องของสิ่งเร้าภายนอก และการบริโภคก็ไม่จำเป็นต้องถูกยึดโยงกับการผลิตใหม่ (production) เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
ในมุมมองเชิงโครงสร้างของสังคมโลก ความหมายของ หลังบริโภคนิยม นั้นเกี่ยวโยงโดยตรงกับแนวคิด post-capitalism ที่เกิดขึ้นพร้อมกับยุคการปฏิวัติดิจิตัล (Digital Revolution) ในวันที่ทรัพยากรที่มนุษย์ต้องการเสพในวิถีชีวิตประจำวันมาในรูปแบบของสื่อดิจิตัลแทนที่จะเป็นวัตถุ และที่สำคัญสามารถเข้าถึงและนำไปใช้ได้อย่างฟรีๆ อย่างเช่น รูปภาพบน pinterest เพลงบน youtube หรือข้อมูลใน wikipedia และถ้าจะพูดในเชิงการค้าขายวัตถุสิ่งของ การเกิดของโลกดิจิตัลก็ทำให้การเข้าถึงของสิ่งต่างๆและระหว่างผู้คนง่ายมากขึ้น ทำให้เกิดการค้าอิสระโดยคนตัวเล็กๆเยอะขึ้นในโลกออนไลน์ กำแพงของผู้ผลิตและผู้บริโภคได้ถูกฟังทลายลง ผู้ซื้อสุดท้ายแล้วก็สามารถเป็นผู้ผลิตในเวลาเดียวกันได้อย่างง่ายดาย อำนาจของพ่อค้าคนกลาง หรือนายทุนตัวใหญ่ๆ อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้า จึงถูกลดความสำคัญลงได้บ้าง
ปัจจุบันสมัยแห่งความหมายอันลื่นไหล ที่ ‘ผู้บริโภค’สามารถเป็นผู้กำหนด
สุดท้ายแล้วเราคงไม่สามารถตอบคำถามที่เราตั้งมาทั้งหมดตลอดบทความนี้ได้ แต่ในปัจจุบันที่โลกแห่งความจริงยังคงดำเนินต่อไป ในวันที่เราก็คือผู้บริโภคในยุคของความหมายอันลื่นไหลจนเกือบจะสับสนปนเป ที่คำว่า post-consumerism จะมีความหมายอะไรก็ได้ และเราก็ไม่ได้ถูกกักขังอยู่ในความหมายเดิมของการเป็นผู้บริโภคที่เป็นเหยื่ออีกต่อไป เราคิดว่าเรามีอำนาจเพียงพอที่จะสร้างแรงกระเพื่อมอะไรบางอย่างในสังคม จากแค่การ ’เลือก’ สิ่งที่เราจะบริโภคและมองการจับจ่ายของเราเป็นอำนาจในมือในการสร้างการเปลี่ยนแปลง
เราอาจจะเป็นปลาที่ว่ายในกระแสน้ำวนจริงๆ เราอาจจะโกรธอยู่ในทุกๆวัน เหนื่อยอยู่ในทุกๆวัน และเฝ้าด่าทอระบบไปเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน ในบางเวลา เราอาจจะเลือกดื่มด่ำและรู้สึกปิติกับเรื่องราว ที่มา และการปฏิเสธวัตถุได้ด้วยเหมือนกัน เหมือนกับปลาที่หันไปว่ายน้ำทวนกระแสในบางครั้ง เพื่อรู้สึกถึงพลังต่อต้านในร่างกายของเราเอง และรับรู้ได้ว่ายังมีบางสิ่งที่เรายังกำหนดเองได้ในโลกแห่งทุนอันบิดเบี้ยวนี้ ตราบใดที่การดื่มด่ำและความรู้สึกปิติจากการเสพอะไรก็ตามนั้นมันยังจริงแท้ที่สุดสำหรับเรา
— — — — — — — — — — — -
#postconsumerism #anticapitalism #consciousliving #sustainableliving
ที่มา
Chintanalert J. (2018). Dynamics of Luxury Consumer Culture & the Transition towards Post-Consumerism: A Study through Luxury Brands with Alternative Consumption Activities in Thailand. Goldsmiths, University of London
Soper K. (2017). A New Hedonism: A Post Consumerism Vision. Retrieved Dec 6, 2020, from https://thenextsystem.org/learn/stories/new-hedonism-post-consumerism-vision
Kotler P. (2019). The Rise of Anti-Consumerism. Retrieved Dec 6, 2020, from, https://sarasotainstitute.global/the-rise-of-anti-consumerism/
Davis M. (2019). Maslow’s forgotten pinnacle: Self-transcendence. Retrieved Dec 6, 2020, from https://bigthink.com/personal-growth/maslow-self-transcendence?rebelltitem=1#rebelltitem1
Wikipedia (2020). PostCapitalism. Retrieved Dec 6, 2020, from https://en.wikipedia.org/wiki/PostCapitalism
ภาพทั้งหมดจาก Pinterest