แผลสดบนกระดาษขาด เสียงโหยหวนของสัตว์ประหลาด ความลับ กับระยิบระยับของพวกมันที่ถูกฝังกลบ

Tuesday Evening
2 min readOct 6, 2023

--

Mardi Soir #7 Monster (2023), Hirokazu Kore-eda

สัตว์ประหลาดตะโกนอยู่ข้างใน 
สัตว์ประหลาดคือเสียงจากร่างกายที่ไม่มีความหมาย
สัตว์ประหลาดคือความเป็นเด็กในเราทุกคน
สัตว์ประหลาดคือจิตวิญญาณอันเป็นอิสระ
สัตว์ประหลาดคือธรรมชาติ
สัตว์ประหลาดคือปกติธรรมดา

Monster (2023): Violence, Thriller, Domestic Abuse, Social Abuse

*Spoilers Alert*

ตั้งหน้าตั้งตารอตั้งแต่โปสเตอร์กับชื่อเรื่อง พยายามหลบสปอยทุกช่องทาง ดูแค่เทรลเลอร์เท่านั้น พอเข้าไปดูจริงๆก็พบว่าเทรลเลอร์ก็หลอกเราอีกตลบได้อย่างแยบยล (ขอสปอยเบื้องต้นตรงนี้ว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่รวมอยู่ใน genre lgbtq+ หลายคนอาจจะรู้กันอยู่แล้วเพราะได้รับรางวัล queer palm award พร้อมกับ best screenplay ที่คานส์ แต่เราที่ไม่รู้อะไรสักนิดก่อนเลย ก็ได้บรรยากาศการดูอีกแบบ ที่ไม่ได้มีหมุดหมายเกี่ยวกับประเด็นนี้อยู่ในสมองเลย)

ยังคงรูปแบบเป็นหนังดราม่าสะท้อนความเป็นครอบครัวที่ยึดโยงกับโครงสร้างสังคมญี่ปุ่น ผ่านภาพเสียงและเหตุการณ์ที่เรียบง่าย แต่บาดลึก เงียบงัน ตามสไตล์โคเรเอดะ แต่ Monster (2013) นั้นบาดลึกกว่าเรื่องไหนๆ มีมิติให้ได้รู้สึกและคิดตามหลากหลายมุม (แม้จะเน้นที่ความรู้สึกร่วมมากกว่าก็ตาม ซึ่งเป็นจุดที่ชอบ) เนื้อหาที่บวกกับวิธีการเล่าแบบราโชมอน — แบ่งเรื่องเป็น 3 องก์ 3 มุมมองต่างของ แม่เลี้ยงเดี่ยว, ครูประจำชั้นคนใหม่, และเด็กๆ จากเหตุการณ์เดียวกัน; ‘มินาโตะ’ ลูกชายชั้นป.5 เริ่มทำตัวแปลกๆพูดจาแปลกๆที่บ้าน, มีแผลตามตัวเหมือนโดนทำร้าย, แม่ไปเอาเรื่องครูประจำชั้นที่โรงเรียน, กับไปเจอเขาเล่นอยู่ในป่าบนเขาข้างทางกับเพื่อนร่วมห้องชื่อ ‘โยริ’ ประกอบเป็นเนื้อเรื่องที่ดูเผินๆเหมือนจะเป็นเพียงปัญหาความไม่เข้าใจกันภายในครอบครัวของช่วงวัย Coming of Age ทั่วๆไป แต่จริงๆแล้วสลับซับซ้อนกว่านั้น และซ่อนความรุนแรงอย่างถึงที่สุดแม้ไม่มีเลือดสาด

นี่ไม่ใช่เพียงหนังสะท้อนความจริงทางสังคมที่แผ่ซ่านเป็นภาพใหญ่กว่าเพียงหนึ่งครอบครัวกับ ‘ความเป็น’ (being) ของเด็กที่ก็เป็นปัจเจกหนึ่งคนอย่างมินาโตะ แต่รวมไปถึง ‘ความเป็น’ ของผู้คนอันแตกต่างหลากหลาย ที่ข้อจำกัดและบทบาททางโครงสร้าง มารยาททางสังคม ไม่เพียงกีดกันจำกัดกักขังพวกเขาเอาไว้ แต่ยังทำให้พวกเขาต้องต่อสู้ฟาดฟันทำร้ายทารุณกันเองเป็นทอดๆ โดยวิธีการเล่าแบบราโชมอนนี้ มีหลายจังหวะที่ ‘เล่น’ กับอคติในใจของคนดูอย่างเราๆ ที่ต่างก็สวมบทบาททางสังคม สวมหมวกหลายใบกันอยู่ทั้งนั้น มันสนุกตรงนั้น อีกทั้งยังลุ้นระทึก ที่ซีนหลังๆขึ้นมานั่งหลังตรง พิงไม่ติด แล้วร้องไห้ไปด้วย 5555 เป็นความระทึกแบบความรู้สึกร่วม บาดหัวใจ ไม่ใช่ระทึกแบบคิดตามเหมือนเรื่อง the third murder (2017) อาจเพราะเรื่องนี้ตัวละครหลักเป็นเด็ก กระทำไปแบบเดียงสา จนผู้ใหญ่อย่างเราไม่ประสีที่จะเดาได้ถึงการกระทำต่อๆไปที่มาจากหัวใจอันเป็นอิสระของพวกเขาได้เลย

จากความรู้สึกหม่นที่เหมือนจะเบาแต่หนัก กับประเด็นอันปนเปเต็มไปหมด ‘ความลับของเด็กๆ’ เป็นใจความหลักที่เราอยากดึงมาเป็นแก่นกลางในการเขียนแสดงความประทับใจกับความคิดเห็นต่อ Monster — ความลับของสัตว์ประหลาด, ความลับของความเป็นเด็กในใจของผู้คนที่แตกต่างไม่เหมือนกัน, ความลับที่ถูกฝังกลบให้เงียบงัน อาจเพราะมันไม่เคยปลอดภัยเลยที่จะเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นออกมา อาจเพราะแม้พูดออกมาเป็นภาษามันจะยิ่งทำทวีความไม่เข้าใจและสร้างบาดแผลเพิ่มเข้าไปอีก ทำได้เพียงโหยหวน ในแบบของตัวเองเพียงเท่านั้น

กระดาษขาด: ใครกันแน่คือสัตว์ประหลาด ?

เราชอบที่เริ่มเรื่องด้วยฉากเหตุการณ์ไฟไหม้บาร์คาราโอเกะ แล้วปล่อยทิ้งประเด็นเกี่ยวกับมันไว้ยาวเลย โดยไม่รู้ตัว เราถูกปูทางให้สงสัยและจมแช่อยู่กับบรรยากาศเปล่งประหลาด และความไม่ปกติสุขในความปกติสุข (ซึ่งเป็นบรรยากาศที่เราชอบมากส่วนตัว แม้จะระแคะระคายร่างกายและจิตใจ 55) จนในองก์ที่3 ที่มีฉากเฉลยว่าอาจจะเป็นโยริ ที่เป็นคนวางเพลิง มันเป็นการร้อยเรียงความรุนแรงรุ่มร้อนในจิตใจของเด็กสิบกว่าขวบที่มีคาแรคเตอร์เหมือนจะร่าเริงคนนี้ได้อย่างแยบยล ฉายผ่านภาพเพลิงที่แผดเผาตั้งแต่วินาทีแรกของเรื่อง ที่คนดูอาจไม่ทันได้ตั้งตัว หรือถูกหลอกให้ไขว้เขว่ไปจดจ่ออยู่กับประเด็นอื่นๆ ตามเนื้อหาและอคติในใจเราเอง

การใช้วิธีการเล่าแบบหนึ่งเหตุการณ์หลายมุมมอง ทำให้หนังดราม่าสะท้อนสังคมเรื่องนี้กลายเป็นหนังกึ่งระทึกขวัญกึ่งสืบสวนสอบสวนไปด้วยโดยปริยาย ประกอบกับการใช้ ‘เสียง’ ที่สื่อสารร่วมไปถึงความรุนแรง (นอกจากดนตรีประกอบเรื่องสุดท้ายในชีวิตของริวอิจิ ซากาโมโต้ แล้ว ยังมีเสียงอื่นๆ อย่างเสียงน้ำที่ทะลักออกจากเขื่อนเก็บน้ำ หรือเสียงฝนตกกระหน่ำจนไปถึงพายุและดินถล่ม) ซึ่งทำงานร่วมกันกับภาพได้เป็นอย่างที่ดีในการสร้างความรู้สึกถึงความรุนแรงในชีวิตปกติประจำวันธรรมดา ผ่านฉากหลังธรรมดาๆอย่างเมืองเล็กในต่างจังหวัดกับโรงเรียน แม้เราจะรู้สึกว่าวิธีการเล่า จะทำให้เนื้อเรื่องในมุมขององก์ที่ 1 (มุมแม่)และ 2 (มุมครูประจำชั้นคนใหม่) แยกขาดกับองก์ที่3 ที่เป็นตอนของเด็กๆ โดนสิ้นเชิง แตกระแหง ตะกุกตะกัก ไม่เกี่ยวข้องกันยังกับหนังคนละเรื่อง แต่พอตกตะกอนหลังจากวันที่ดูหนังมาได้สองสามวัน กลับพบว่าการแยกขาดของเนื้อเรื่องที่เหมือนกระดาษที่ขาดแล้ว แล้วนั่นแหละ ที่อาจเป็นใจความของการสื่อสารถึง ‘ความลับของเด็กๆ’ นี้

การเล่าแบบราโชมอนครั้งนี้ไม่ได้เพียงให้คนดูอย่างเราเป็นพยานในการคลี่ออกของกระดาษหนึ่งแผ่นที่พับอยู่และมีหลายด้านหลายมุมซ่อนอยู่ แต่หากมันเป็นกระดาษที่ขาดไปตั้งนานแล้ว เด็กๆเจ็บปวดเกินไป พวกเขาสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาที่ราวกับเป็นหนังคนละเรื่อง ขณะที่ผู้ใหญ่อย่างเรากำลังหลงอยู่ใน ‘อคติ’ ภายใต้หน้ากากของบทบาททางสังคมของเราเองกับตัวละครที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในหนังที่เราเชื่อมโยงความรู้สึกร่วมได้ — ความเป็นผู้หญิง, ผู้ชาย, แม่, แม่เลี้ยงเดี่ยว, ผู้ชายที่เที่ยวบาร์คาราโอเกะ, ครู, ผู้หญิงสูงวัย, ย่า, ผู้หญิงที่แบกรับตำแหน่งยิ่งใหญ่อย่างผู้อำนวยการโรงเรียน, ฯลฯ ขณะที่เรากำลังหลงอยู่ในพงหญ้า เฝ้าแวดระวังว่าใครกันที่เป็นสัตว์ประหลาด ‘เด็กๆ’ ฉีกกระดาษส่วนของตัวเองออกไป สร้างโลกของตัวเองที่เราไม่อาจร่วงรู้ได้ พวกเขาไม่ได้สนใจว่าใครเป็นสัตว์ประหลาด ไม่เคยสนใจ ไม่สลักสำคัญ

และเมื่อระยิบระยับของในใจของพวกเขาถูกเปิดออกในองก์ที่สาม ทุกอย่างก็เหมือนจะสายไปเสียแล้ว

ความลับ: โลกอันระยิบระยับของเด็กๆ

องก์ที่สามเป็นเหมือนชิ้นส่วนของกระดาษขาดที่หายไป ปลิวกลับมาตบที่หน้าเราฉาดใหญ่ พร้อมกับความโกลาหลของพายุ ฟ้าฝน และดินถล่ม

กล่องแห่งความลับถูกเปิดออกแล้ว และที่น่าตกใจเสียยิ่งกว่าคือมันไม่ใช่อะไรแปลกประหลาดเลย มันเป็นเพียงความปกติธรรมดาของธรรมชาติ มันเป็นโลกของเด็กที่มีความหวังเต็มเปี่ยมที่จะอยู่ต่อไป ความหวังจากหัวใจอันไร้เดียงสาจากเพียงจิตวิญญาณอันเป็นอิสระ ไร้กรอบของบทบาททางสังคมมากดทับเหมือนพวกผู้ใหญ่

‘ความเป็น’ ของคาแรคเตอร์โยรินั้นสร้างขึ้นมาเพื่อฉีกหัวใจคนดูอย่างเรามากๆ เด็กสิบขวบคนหนึ่งที่ถูกกระทำชำเราโดยครอบครัว (Domestic abuse) ไม่ใช่เพียงทางจิตใจแต่ทางร่างกายด้วย แถมถูกผู้กระทำชำเรา (abuser) ที่เป็นคนคนเดียวกันกับคนที่ควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เขามากที่สุดอย่างพ่อ ตราหน้าว่าเป็น ‘สัตว์ประหลาด’ เพียงเพราะ ‘ความเป็น’ ของตัวเอง แต่เพื่อจะได้พบเจอกับโลกที่เขาต้องการ เขาจินตนาการถึง Big Crush เขาเฝ้ารอวันที่โลกกลับตาลปัตร วันที่คนกลับกลายเป็นลิง อึกลับกลายเป็นอาหาร เป็นสัญญาณว่าโลกที่เขากำลังอาศัยอยู่นี้นั้นโหดร้ายอย่างใหญ่หลวงกับเขาถึงขนาดไหน มันถูกทำให้บิดเบี้ยวเละเทะโดยคนที่ทำให้เขาเกิดมาเอง แต่เขาก็ยังมีความหวังเต็มเปี่ยม — ‘ความหวังอันไร้เดียงสาแบบเด็กๆ’ นี่แหละมั้ง การตบหน้าฉาดใหญ่ กลิ่นของความหวังที่ตัวเราเองฝังกลบมันไปตั้งนานแล้วผ่านการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ Monster พากลิ่นนั้นกลับมาพร้อมกับห่าฝน

และไม่เพียงแต่จินตนาการถึง big crush เท่านั้น โยริยังสร้างพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองขึ้นมาด้วย ขบวนรถไฟเก่าเป็นเหมือนบ้านหลบภัยที่ปกป้องเขาจากความโกลาหลของโลกข้างบน และมินาโตะถูกเชื้อเชิญให้มาร่วมสร้างด้วยกัน หลายๆฉากในขบวนรถไฟทำให้เราได้กลับไปเชื่อมโยงกับความเป็นเด็กในใจของเรา (ภาพฐานทัพลับที่สร้างเล่นกันใต้โต๊ะกับเพื่อนบ้าน กับซอกหลังเตียงนอนที่เราเอาผ้านวมไปปู แล้วเอากระดาษวาดระบายสีเป็นรูปก้อนเมฆ รูปพระอาทิตย์ ไปติดที่ผนัง มันคงเป็น ‘โลกของเด็ก’ ของเราในวันนั้น ที่เราพยายามจะปลอบประโลมหัวใจตัวเอง) และคล้ายๆกันกับตอนที่เห็นความหมายของ ‘บ้าน’ ในขบวนรถไฟกลางป่าข้างทางของมินาโตะกับโยริ ความรู้สึกมันช่างงดงาม ระยิบระยับ อ่อนนุ่ม ง่ายดายเป็นธรรมดา และปลอมประโลม

‘ความเป็นเด็ก’ — Monster สามารถทำให้เรารู้สึกถึงสิ่งนั้นได้อีกครั้ง เด็กไม่เคยเอาบทบาทความเป็นเด็กมาสวมให้ตัวเอง มีแต่ผู้ใหญ่ต่างหากที่เอาต่างๆนานาๆมาแปะป้าย เด็กเป็นเพียงมนุษย์ เป็นผู้ดิ้นรนที่จะ ‘เป็น’อย่างถึงที่สุด และมันก็น่าเศร้าอย่างมาก ที่จะต้องดิ้นรนหนักหนาจากแรงกดทับจากมนุษย์กันเองที่พยายามอย่างยิ่งที่จะผังกลบมันเอาไว้ เพื่ออะไร? เพียงเพื่อที่พวกเขาจะได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีบาดแผลเหมือนๆกันกับพวกเราอย่างนั้นหรอ?

แผลสด: โหยหวนเงียบงัน

อีกหนึ่งจุดที่ทำให้ Monster นั้นแตกต่างออกไปและทำให้เราประทับใจมากคือ การที่เด็กๆเป็นใจความหลักของเนื้อเรื่อง มันทำให้เราได้เห็น ‘แผลสด’ แทนที่จะเป็น ‘แผลเป็น’ ของบาดแผลทางจิตใจ (trauma) ที่ใครๆก็มี และมักพบเห็นได้บ่อยในหนังดราม่าและความสัมพันธ์ ใน Monster เราได้เป็นประจักษ์พยานให้กับช่วงขณะที่บาดแผลเป็นในวัยผู้ใหญ่นั้นกำลังถูกกระทำ มันจึงไม่เพียงเพิ่มความรุนแรงให้กับเนื้อเรื่อง แต่ยังจุดประเด็นให้ตั้งคำถามว่าเราจะทำแบบนั้นกันไปทำไม? เราจะส่งต่อความเจ็บปวดร่วมต่อไปเพื่ออะไร?

เราประทับใจหลากหลายฉากกับวิธีการเล่าที่สะท้อนความรุนแรงในจิตใจของเด็กๆ โดยที่ไม่มีเลือดสาด มันเป็นการประโคมความรุนแรง (dramatise) ของสภาวะทางจิตใจของเด็กในเหตุการณ์ปกติธรรมดาในชีวิต ที่เราเห็นด้วยและประทับใจมากที่ถูกนำมาใช้ได้อย่างดิบดีสร้างสรรค์ ไม่ฉายผ่านภาพความรุนแรงตรงๆที่อาจผลิตซ้ำความรู้สึกเจ็บปวดร่วม ไม่ว่าจะเป็นซีนลบกระดาษแรงๆ หรือฉากที่เราชอบมากคือฉากที่โยริถูกขังในห้องน้ำ เคาะและตะโกนให้เปิดให้หน่อย พร้อมกับพูดประโยคยอดฮิต ‘ใครกันคือสัตว์ประหลาด?’ ทั้งเสียงและภาพ ที่ดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์ปกติในโรงเรียนที่เด็กๆแกล้งกันเล่น แต่ Monster สามารถทำให้เรารู้สึกว่าสัตว์ประหลาดในตัวโยรินั้นถูกกระทำชำเรารุนแรง ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว และกำลังโหยหวนร้องขอให้ช่วย กับอีกฉากสุดปังที่คุณครูใหญ่ (ที่ทั้งองก์1และ2 ถูกเรามองว่าเป็นยัยแก่ตัวร้ายตัวบิ๊ก) กับมินาโตะเป่าเครื่องเป่ากัน การประสานกันของเสียงโหยหวนจากความเป็นเด็กภายในของเธอ และความเป็นเด็กของมินาโตะนั้นทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดภายในที่ถูกฝังกลบได้อย่างยิ่งใหญ่และหนักหน่วงอืออึง

Generational Trauma คงเป็นประเด็นที่เราเลือกจะมองเห็นจากเรื่องนี้ (เพราะส่วนตัวอินประเด็นนี้) เรายังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมพวกเราถึงส่งต่อบาดแผลที่เราเคยถูกกระทำมาให้คนอื่น ไม่ใช่เพียงส่งต่อให้เด็กๆ แต่ต่อไปยังมนุษย์ผู้ใหญ่ที่แตกต่างคนอื่นๆกันเองด้วย เพราะเหตุผลของแต่ละคนนั้นคงปนเปทั้งความเป็นส่วนตัวและส่วนรวม เราไม่ได้ใส่ใจที่จะหาคำตอบ เพราะคำตอบคงไม่ได้มีหนึ่งเดียวตายตัวเป็น absolute แต่หนึ่งสิ่งที่เห็นและรู้สึกได้ชัดเจนแจ่มจัดจากเรื่องนี้คือความเจ็บปวดทางจิตใจของผู้คนในสังคมนั้นหนักหนาเกินไป ในความปกติธรรมดาของชีวิตประจำวัน แผลเป็นเหล่านั้นกำลังโหยหวนเงียบงัน ตะโกนออกมาผ่านการสร้างแผลสดใหม่ซ้ำๆเป็นทอดๆ ทั้งผลักไสออกไป ทั้งตัดสินสิ่งที่ไม่เข้าใจและเข้าใจผิด ทั้งย่ำเหยียดเหยียบสิ่งที่เป็นอื่นกับอคติในใจเราเองเอาไว้ ทั้งหมดกลายเป็นกลไก (coping and defense machanism)ที่ง่ายกว่า ง่ายกว่าที่จะแบกรับความรู้สึกเจ็บปวดนั้นไว้เองและเผชิญหน้ารู้สึกมันอย่างตรงไปตรงมามากๆ เพื่อไปต่อ เพื่อทุเลาทุกข์ เพื่อที่จะอยู่รอดให้ได้ในกลไกอันซับซ้อนทางสังคมนี้

สัตว์ประหลาด: ความเป็นอื่นที่ถูกฝังกลบ

อยากส่งท้ายด้วยการย้อนกลับไปพูดถึงประเด็นที่ว่า ‘ใครเป็นสัตว์ประหลาดกันแน่?’ จากช่วงแรกๆของเรื่องที่ฮุคไว้ให้คนดูอย่างเราๆสงสัยและจ้องจับผิด ตอนแรกเป็นครูประจำชั้นชอบเที่ยวผู้หญิงในบาร์สแนค, ต่อมาหรืออาจจะเป็นการกระทำร่วมของคณะโรงเรียนทั้งโรงเรียน, เอ๊ะ หรือจะเป็นความร้ายกาจของผู้อำนวยการโรงเรียนเพราะเธอกุมอำนาจทั้งหมดเอาไว้, หรือจะเป็นพ่อของโยริคุงที่ขี้เมาแถมทุบตีลูก, สุดท้าย หรือจะโทษเด็กๆ ที่โกหก ที่การกระทำอันไร้เดียงสา ควบคุมไม่ได้นั้นเกิดจากปีศาจสมองหมูในตัวพวกเขา?

ตกตะกอนมาสักพักเราจึงพบว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นสัตว์ประหลาด แต่ทุกคนมีสัตว์ประหลาดในตัวเอง ความเป็น queer ในตัวเราทุกคน (อาจจะต้องถกกันต่อในเรื่องความหมายของคำ ถ้าจะพูดคุยกันในมุมของเรื่องเพศวิถี แต่สำหรับเรา Monster ทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับคำนี้ในบริบทที่กว้างใหญ่กว่านั้น) เราตีความของความเควียร์โยงไยกับความเป็นเด็ก ที่จะรักจะชอบอะไรก็ได้โดยกรอบทางสังคมไม่สามารถขว้างกันได้ ธรรมชาติในมนุษย์ ที่ทุกคนเคยมีแต่ถูกแช่แข็งฝังกลบเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ การเป็นผู้ใหญ่(adulting)สำหรับเราจึงเป็นคนละคำกันอย่างสิ้นเชิงกับคำว่าเติบโต (growing) เพราะถ้ามันจะต้องหมายถึงการฝังกลบ เงียบเสียง สยบธรรมชาติในตัวเองแล้วตราหน้าว่าความเป็นธรรมชาตินั้นคือสัตว์ประหลาด อย่างที่พายุกับดินถล่มได้กระทำกับโยริและมินาโตะในตอนจบ

--

--

Tuesday Evening
Tuesday Evening

Written by Tuesday Evening

Poet Wannabe, Post-consumerist Practitioner, Sense Experimenter, & the Devil’s Advocate. Trying to merge all into my pieces here.

No responses yet