แด่ความโกรธ ในยุคสมัยแห่งหน้ากากเปื้อนยิ้มอันปริแตก และ อีกา
Mardi Soir #2 : Quick Journal, BEEF (Lee Sung Jin, 2023)
BEEF (Lee Sung Jin, 2023) : Rage, Alienation, Nihilism, Gen Y’s Existential Crisis, Social Class Sarcasm, the Classic Generational Trauma, and basically Very Extremely Angry People
เราพยายาม
เราทำงานหนัก
แต่เงื่อนไขก็ยังเต็มไปหมด
เจอทางลัด เราก็มักเลือกมัน
แต่รูรั่วก็ยังไม่หมด
ราวกับ 'โชคร้าย' ตามเรามาอยู่ซ้ำๆ
ราวกับ 'โชคร้าย' คือตัวเราเอง
'ความฝัน'
เราได้มันมาแล้ว
ยังรู้สึกหวิวๆ ที่กลางอก
แผลเป็นตรงนั้น
ลูบคลำ กรีดซ้ำ ทำให้เป็นแผลใหม่
แล้วก็รู้สึกมีชีวิต
'ฝันร้าย' ต่างหากที่เราต้องการ
เพราะหากชีวิตไม่มีเงื่อนไข
หากได้มาทั้งหมดแล้ว
เราจะอยู่ไปเพื่ออะไร
เริ่มจากเรื่องของคนสองคนทะเลาะกันบนท้องถนนขณะขับรถ จนเกิดเป็นมหากาพย์ล้างแค้นที่ค่อยๆพุ่งทะยานขึ้น แผ่ว เร่ง และสุดท้ายปักหล่นลงก้นเหวลึกแห่งตัวตนและจิตใจในที่สุด
เราชอบอะไรที่เกี่ยวกับความโกรธแค้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตนี้จะได้ดูซีรี่ย์ Drama/ Comedy ที่เอาความโกรธมาลงมงเป็นตัวเอกแบบจริงจัง ❤️🔥😍 บทดีมาก Dialogue ดีมาก ตัดดีมาก ภาพดีมาก แสดงดีมาก จนขำได้แทบทุกประโยค (คือทุกอย่างทำงานด้วยกันได้อย่างแข็งแรง แม้กระทั่งประโยคโหลๆเช่น what the fuck, this is so stupid ยังถูกใช้ได้แบบมีคุณภาพถูกจังหวะไปหมด ขำตัวเอน) แต่ระหว่างเส้นความบันเทิง ความหม่น เหงา หลุมบ่อลึกอันกลวงเปล่าในจิตใจมนุษย์อย่างเราๆก็ถูกสัมผัสเป็นระยะๆ (ส่วนมากผ่านสีหน้าของสตีเฟ่น ยอน แววตาปังมาก, หรือคำพูดแนว extentialism ชวนคิดที่ไม่น้ำเน่าสั่งสอน แถมมาถูกจังหวะไม่ประดัดประเดิด, หรือหลายๆซีนที่เห็นอีกกาบินผ่าน…) สัญลักษณ์เยอะมาก ถ้าให้พูดประเด็นทางสังคมแง่มุมไหนคงจับมาพูดได้แทบทุกเรื่อง ซีรี่ย์เอาอยู่ได้ด้วยตัวมันเองจนไม่อยากดึงอะไรมาวิเคราะห์เยอะแยะเลย กลัวจะทำให้เสียของหรือไปลดทอนอำนาจในการสื่อสารของตัวมันเองที่ทรงพลังมากอยู่แล้ว เป็นซีรี่ย์ที่แสดงให้เห็นถึงสังคมแห่งยุคสมัยนี้ได้ละเอียดละออหลากมิติ จนไม่รู้ว่าถ้ามาดูในอนาคตจะขำและเข้าใจมันได้เท่าตอนนี้ได้รึเปล่า ในมุมเรา Beef ดูจะเป็นซีรี่ย์ที่ time-sensitive เป็นอะไรที่ปัจจุบันมากกว่าจะเป็นเรื่องราวที่classic นี่ยังไม่ต้องพูดถึงแผ่นเปิดตัวไตเติ้ลแต่ละตอนที่มาพร้อมซาวนด์ที่ปังมาก กับเพลงยุค 90s ปิดท้ายของทุกตอนที่บีบหัวใจสุดๆ อะไรมันจะดีไปหมดทุกอนูขนาดนี้! narratives นี้จบได้ที่ตัวมันเอง ขึ้นหิ้ง!
แต่! ยังไงก็ขอระบายความชอบยาวมากๆ ซะหน่อย ชอบอ่านยาวมาทางนี้!
*spoilers alert*
-โกรธ ในยุคสมัยแห่งหน้ากากเปื้อนยิ้มอันปริแตก-
ชอบความเรื่อยๆแต่แสบแซ่บในตอน1–6 ที่เปิดเรื่องมาเต็มไปด้วยซีนปูทางจิกกัดสังคมแห่งยุคสมัย neoliberal ที่ผู้คนก็ต่างพยายามปีนป่ายไปสู่ฝัน ไม่ว่าคุณจะเป็นช่างรับเหมาเพิ่งเริ่มกิจการ หรือเป็นentreprenuer ที่ประสบความสำเร็จมาประมาณนึงแล้ว คุณก็ยังคงปีนป่ายเหมือนๆกัน ชอบที่เนื้อหาแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองที่กัดกร่อนผู้คนด้วยสายตาที่มองอยู่ไกลๆจากมุมภาพใหญ่ ไม่ได้เอาความยากจนแร้นเค้นมา romaticise แต่เลือกใส่ความโรแมนติกให้ ‘ความพยาม’ ของมนุษย์ภายใต้ร่มของโลก free trade ที่ใครๆต่างก็พยายามอยู่เหมือนกันหมด แม้จะต่างบริบทกัน มีหลายๆซีนที่สะท้อนมุมนี้ได้ประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นตอนแดนนี่ด่าเอมี่ว่าแต่งงานกับart money หรือตอนที่พอลบอกว่าถ้ามีเงินเท่าเอมี่ก็ยิ่งใหญ่ได้ง่ายๆ ขณะเดียวกัน เราก็เห็นชัดเจนว่าเอมี่ต่างหากที่เป็นคนทำหลายๆอย่างในครอบครัวที่มีผัวศิลปินold moneyตกอับหลบอยู่ใต้เงาผีพ่อแม่ และในมุมของเอมี่เองมันก็หนักหนาจริงๆ
ในสังคมแห่งการ impress ที่ต้นทุนไม่ใช่เพียงแค่เงิน แต่รวมถึงการปั้นหน้าปั้นตาสร้างคอนเนคชั่น ฝืนยิ้มให้กับ the real big money อย่างจอร์เดน่า (ที่ก็ลึกซึ้งมากในมิติการเป็นพวกคนขาวบ้าเสพวัฒธรรม appropriateทุกสิ่งบนโลก ชอบมากๆกับการportray สังคม new age zen แต่ก็ยังมีซีนให้นางได้เผยมิติความเป็น capitalist ตอนที่กระซิบบอกเอมี่ว่านางทำตัวประเจิดประเจ้อในเวกัสไม่ได้ ลูกจ้างมีแต่พวกชนชั้นกลางเดี๊ยวพวกเค้าจะโมโหเอา 5555 ใช่ นางไม่ใช้คนรวยหายใจไปงั้น นางก็ทำงานและพยายามในบริบทขอนางเองอยู่เหมือนกัน ) ในความ ‘พยายาม’ทั้งหลายแหล่นี้ เรารู้สึกได้ถึง ‘ความเปราะบาง’ในสังคมที่ปรบมือให้กับคำว่า success และ คำว่า self-made มันเปราะบางขนาดที่แค่คำพูดดูถูกของคนอื่นเพียงไม่กี่ประโยค หรือแค่เสียงบีบแตร่ไล่ที่ท้ายรถ ก็สามารถทำให้ตัวตนที่อุส่าพยายามก่อร่างสร้างมาเองหนักหนานั้นขาดผึ่งตะเลิดเปิดเปง จนต้องหาทางแก้แค้นอย่างเจ็บแสบ ทั้งหมดนี้มีความเป็นอเมริกันมากๆ ก็จริง แต่เราต่างก็รู้กันดีว่าระบบระเบียบทางเศรษฐกิจที่แยกไม่ขาดจากบรรทัดฐานทางสังคมแบบนี้กำลังครอบงำโลก
-โกรธ ตัวละครแห่งยุคสมัย-
และตัวละครเสริมแต่ละตัวก็ใช่ว่าจะมาแบบแบนๆ ชอบที่ทุกตัวละครมีมิติจัดจ้าน ที่เราสามารถพบเจอได้แทบทุกคนในชีวิตจริง จอร์จที่เป็นลูกแหง่ผู้ดีตีนแดงที่ไม่สามารถเข้าถึงความลึกซึ้งของชีวิตได้ ความดีปต่างๆนาๆที่เขาพูด เขาหาอ่านมาทั้งนั้น หรือฟูมิในบทบาทของความเป็นtypical genX parent ที่ถือคติกดข่มปัญหาและความรู้สึก ก็ยังได้ซีนให้นางได้แสดงความเปล่าดายในชีวิต เป็นเหตุว่าทำไมนางถึงมายุ่มย่ามชีวิตครอบครัวของลูกที่โตจนวัยกลางคนแล้ว หรือไอแซกที่มักฉวยโอกาสความเป็นครอบครัวตามสไตล์วัฒนธรรมเอเชีย เพื่อแทรกแซงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเงิน (คนแบบนี้มีเยอะมากในระบบรากเน่าของครอบครัวใหญ่ ชาวไทยจีนน่าจะเก็ต) หรือพอลที่แม้ดูเอาแต่ใจ แต่เขาคือตัวแทน GenZ ที่แบกรับลูกหลงอีกแบบหนึ่ง ความมั่นใจถูกทำให้หล่นหายเพราะเงาของพี่ชายบดบัง หรือนาโอมี่ ที่อิจฉา ที่มีสามี big money แม้ได้ลงแมกกาซีนเป็นเซเลปขาขึ้นน่าจับตา แต่รูในใจก็ยังเติมไม่เคยเต็ม หรือแม้แต่ตัวละครประกอบเบาบางอย่างมีอา ที่เข้ามาเป็นกิ๊กของจอร์จ ก็ยังมีประโยคให้นางได้แสดงความต้องการ คือการอยากไต่เต้าทางหน้าที่การทำงานในอาร์ตแกลลอรี่ สะท้อนสังคมที่ความสัมพันธ์แบบใกล้ชิดนั้นปนเปกับไปกับการฝักไฝ่ผลประโยชน์ส่วนตนจนแทบจะเป็นเรื่องเดียวกัน
และตรงนี้ วกกลับไปบท ที่ชอบคือหลายๆครั้งแต่ละตัวละครมักจะพ่นความต้องการและแสดงความเป็นตัวเองผ่านdialgue จนมันไม่เป็นการโต้ตอบกันในบทสนทนาด้วยซ้ำ เห็นถึงสังคมแห่งการไม่ฟัง รอเพื่อที่แค่จะพูด ความไม่ตอบสิ่งที่ถาม ความคุยกันอยู่แต่คุยคนละเรื่อง ความไม่ลงล็อคระหว่างบทสนทนานี้ทำได้แยบยลมาก ทั้งทำให้ขำ แสดงถึงคาแรคเตอร์ของแต่ละคน และยังทำให้เรารู้สึกถึงสภาวะ alienation ที่ช่องว่างระหว่างความแยกขาดไม่เชื่อมโยงเหล่านั้นสร้างความรู้สึกเหงาขึ้นมาด้วย
-โกรธ เป็นสูญ-
8เดือนผ่านไปหลังจากที่ทั้งเอมี่กับแดนนี่ได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว รูในใจกลับทำให้พวกเค้าหวนคิดถึงความเจ็บแสบในวันเก่าๆ ราวกับยังมีอะไรขาดหายไป ตอน 7–9 เริ่มพาเราดิ่งจากสภาวะกว้างๆทางสังคม สู่ ตัวตน และแม้ว่าเรื่องนี้จะมีการพูดถึงมุมมองด้านจิตวิญญาณตลอดเรื่อง แต่แก่นหลักที่เราเห็นกลับคือความเป็น Nihilism เต็มขั้น และที่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้ BEEF ตรงกับจริตและรสนิยมของเรา หลายๆครั้งที่มีซีนลึกซึ้งให้เราอิน สุดท้ายทุกอย่างกลับถูกทำลายล้างลงเสียหมด ตั้งแต่แดนนี่ที่ร้องไห้เป็นบ้าในโบสถ์ แต่สุดท้ายก็กลับใช้การซ่อมโบสถ์เป็นช่องทางหาเงินทอนให้ตัวเอง หรือโมเม้นต์ของเอมี่กับพอลที่นั่งคุยกันในโรงแรมที่เวกัส ความสัมพันธ์ลึกซึ้งนั้นกลับถูกทำลายลงด้วยเซ็กส์ซีนในครั้งต่อมา หรือตอนที่แดนนี่interprete งานเซรามิกของจอร์จในวันที่ตั้งใจจะเข้าไปปล้นบ้าน ความรู้สึกนั้นสะท้อนตัวเข้าเองมากกว่าจอร์จที่ยืนหน้ากลวงอยู่เสียด้วยซ้ำ แต่นั่นก็กลับทำให้เขายกเลิกแผนการปล้นไปเสียดื้อๆ หรือเอมี่ที่แยบยลเสียจนปกปิดตัวเองจากนักจิตได้แนบเนียนเสมอๆ อธิบายที่มาที่ไปของปมตัวเองได้เป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็ยังคงร้องไห้ออกมาอยู่ดี หรือตอนที่ฟูมิสอนเอมี่ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองของตัวเราเอง
เราชอบประเด็นนี้ที่ถึงแม้แต่ละตัวละครจะ ‘พยายาม’ เยียวยาความทุกข์ในแบบของตัวเอง (ซึ่งตรงนี้ก็สะท้อนsocial class and norm ด้วย แดนนี่ไปโบสถ์ / เอมี่ไปพบtherapist / ส่วนbig money อย่างจอร์เดนก็ไปแสวงบุญถึงเนปาล นี่ยังไม่ต้องพูดถึงelements เล็กๆน้อยๆของ New Age Zen อย่างเทรนด์การดื่มมัจฉะ อาหารในงานเลี้ยงที่มีพิซซ่าเห็ด แต่หน้าตาไม่เหมือนพิซซ่า แถมยังมีการพูดสุนทรพจน์เกี่ยวกับเห็ดธรรมดาที่ไม่ใช่เห็ดpsychedelic เป็นเรื่องเป็นราว ที่แสดงถึงเทรนด์การเยียวยาที่ embodied ไปกับโลกแห่งทุนและวัตถุ) แต่ความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณที่ถ่ายทอดให้เราเห็นเหล่านั้น (หลายๆครั้งผ่านการถ่ายนัยตาsoulful มากก ของสตีเฟน ยอน) กลับถูกทำลายล้างด้วยตัวของพวกเขาเองจนเละตุ้มเปะ ทั้งหมดนั้นก็ทำให้เราตั้งคำถามต่อถึงความเป็น-อยู่-คือ ของสรรพสิ่ง
BEEF ไม่ได้หยุดอยู่แค่การจิกกัดยุคสมัยแห่งโลกเสรีและทุนนิยม แต่ทำลายล้างมันอีกทีด้วยความเป็นสูญ ฉะนั้น ความโกรธตอนแรกเริ่ม จึงอาจเป็นเพียงความโกรธ ณ ตอนนั้น ไม่ได้สะท้อนอะไร และที่เราเขียนมายืดยาวทั้งหมดนี้ก็อาจไม่ได้มีความหมายอะไรด้วยเช่นกัน
-โกรธ ส่วนตัว-
ยังไงก็ตาม ตอนที่ 8 นั้นเด้งกลับไปสะท้อนถึง generational trauma ในแบบส่วนตัว ของทั้งเอมี่ที่เคยเห็นพ่อมีชู้+แอบได้ยินพ่อแม่พูดว่าไม่ได้ตั้งใจให้เธอเกิดมา หรือแดนนี่ที่เป็นเด็กโดนบูลลี่ และอยากแสดงความเป็นหัวหน้าครอบครัวให้พอลเห็น อยากสร้างบ้านให้พ่อแม่ แม้เป็นคนทำบ้านไฟไหม้เองก็ปกปิดเอาไว้ เค้าคงอยากเป็นผู้นำบ้างนั่นแหละ ถึงแม้ส่วนตัวเราจะอินกับประเด็น generational trauma แต่ก็ยังตะหงิดๆกับการมีของตอนนี้ ที่สถานการณ์ทั้งหมดกลับถูกถ่ายทอดออกมาให้เหมือนตั้งต้นมาจากปมส่วนตัว (เพราะเราอยากให้สะท้อนสังคม 555) แต่ก็มองได้ว่าเป็นการปูทางถึงที่มาที่ไปของสภาวะภายในก้นบึ้งตัวตนของตัวเอกทั้งคู่ ที่โกรธ…ทั้งหมดนั่น มันก็อาจจะเพราะระบบด้วย และก็เพราะประวัติศาสตร์ส่วนตนอันแตกต่างแต่คล้ายคลึงกันของคนทั้งคู่ด้วยนั่นแล ไม่ใช่อะไรๆก็เพราะสังคมเพราะโครงสร้างไปสะหมดนะจ๊ะ ชอบความใส่มาทั้งหมด และจะไม่มีหรือมีความหมายก็ได้ ดักทุกทาง เพราะมนุษย์นั้นช่างสลับซับซ้อน ชอบบ!
-โกรธ ในก้นบึ้งแห่งจิตใจ และ อีกา-
และเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงตอนที่ 10 ที่ในมุมเราคือองก์ 3 ทั้งองก์ในตอนเดียว ในที่สุดการระเบิดความโกรธของคู่หูนักขับหัวร้อน ก็พาทั้งคู่มาสู่การเผชิญหน้ากับจิตใต้สำนึกของตัวเอง อุปมาชัดเจนคือตอนที่พากันขับรถตกเหวสู่ความลึกอันมืดมิดและสลับซับซ้อนของจิตใจ องก์สุดท้ายนี้แตกต่างจากตอนอื่นๆเพราะมันเป็นกวีบทปิดที่เน้นเพียง dialogue, เสียง, และภาพ (ที่สวยมาก ทำงานดีมาก) เป็นอีพีที่เริ่มดูไปไม่กี่นาทีแล้วต้องหาไวน์ดื่มแต่ก็ต้องโฟกัสด้วยเพราะมันคุยกันแบบ deep talk 5555 ทั้งคู่สลับร่างและเป็นคนๆเดียวกัน เผยภาพใบไม้แห้งสองใบที่เคยโผ่ลมาแบบแรนด้อมในหลายๆซีนก่อนหน้า หมายถึงทั้งคู่คือคนที่เข้าอกเข้าใจกันเอง เติมเต็มvoidของกันและกัน บลาๆๆ จนถึงตอนจบที่กอดกัน ซีนยาวๆนี้ต้องไปเสพเองล้วนๆ จบ
แต่ส่วนที่อยากพูดถึงอย่างสุดท้ายคืออีกา จากที่ผลุบๆโผล่ๆมาตั้งแต่อีพีแรก ในที่สุดอีพีนี้อีกาก็มีบทพูด ชอบที่ใช้อีกาเป็นสัญลักษณ์มาก ไม่แน่ใจว่าคนสร้างตั้งใจให้เป็นอะไร แต่ทุกครั้งที่มีฉากอีกาบินผ่านหรือฉากที่มีการพูดถึงนกเราจะรู้สึกเศร้าแปลกๆ ทั้งในซีนที่เอมี่พูดกับนักจิตถึงเสียงนกร้อง — ‘มันเงียบในสงครามเวียดนามเพราะคนกินนกไปหมดแล้ว’ กับแดนนี่ที่ก็เคยช่วยอีกาตอนเด็กๆ หรือในซีนแรกที่เอมี่จ่อปืนบอกให้นกหุบปาก หรือตื่นจากผวังตอนมองเห็นนกบินอยู่บนฟ้า อีกาดูจะเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากมหากาพย์ความวุ่นวายในชีวิตน้อยๆของพวกเขา, เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม (ที่ความโกรธไม่ชอบ), ทุกครั้งที่เห็นอีกา เราจึงรู้สึกถึงความกว้าง เป็นelementเล็กๆที่เห็นไม่กี่ครั้ง แต่กลับให้ความรู้สึกใหญ่อยู่เหนือเนื้อเรื่องที่พวกเราคนดูกำลังติดตามกันอยู่
และในฉากสุดท้ายของการเผชิญหน้ากับจิตใจตนเอง อีกาก็ส่งเสียงพูดได้และเริ่มโจมตี ราวกับว่า ‘โชคชะตา’ ที่เคยอยู่เหนือการควบคุม ถูกพบและจับต้องได้แล้ว หลังจากความโกรธได้ปะทุออกจากหน้ากากเปื้อนยิ้มที่ปริแตก นอกเหนือจากexpression รูปแบบอื่นๆตลอดเรื่อง — ฝึกหายใจ, ทำสมาธิ, นับหนึ่งถึงสิบแล้วฝืนยิ้ม, ร้องเพลงในโบสถ์, ร้องไห้, ปรึกษา, ฝึกตระหนักรู้, คุณความโกรธแค้นที่ระเบิดปี๊ดแตกออกมาจากร่างกาย, ถูกแสดงให้เห็นและรับรู้แล้วต่างหาก ที่เป็นตัวเอก นำพาคนหัวร้อนทั้งคู่มาพบตัวเองที่ซ่อนเร้นอยู่ในโลกแห่งจิตใต้สำนึกในที่สุด
แด่ ความโกรธ