Journal: Memoria — An Afternoon Travelling through Soundscapes where I Find no Time.

Tuesday Evening
2 min readMar 18, 2022

--

บันทึกประสบการณ์รับชมภาพยนตร์ Memoria (2021) — อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล (แบบทิ้งตัว เน้นพรั่งพรู แชร์ประสบการณ์สภาวะจิตว่าง สำหรับคนดูแล้ว)

🦴 🌏 💀 🌳 🌸

แม้เราเพิกเฉยและไม่รู้ แต่การ ‘เป็น’ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะพาเราไปพบ

เอาจริงๆ ถ้าจะรีวิว Memoria แบบถอยตัวเองให้ห่างออกไปเราคงไม่ได้มีอะไรจะพูด และเขียนไม่เป็นเรื่องเป็นราว เพราะตลอดการรับชมเราเข้าไปปะทะกับประสบการณ์ทางผัสสะล้วน ออกจากโรงมารู้สึกเหมือนเพิ่งออกจากคลาสโยคะแบบไม่ได้ขยับร่าง จิตว่างมากๆ ผัสสะเปิด โดยเฉพาะการรับรู้เสียง 👂🏽✨ กลายเป็นว่าsensitive กับสิ่งเร้าได้ง่ายแต่ก็ grounded ได้ในเวลาเดียวกัน แบบ รับรู้, คัดกรอง, ปล่อยผ่านได้ดี เช่น วันนั้นหลังจากดูหนังได้ไปชมงานศิลปะงานหนึ่งต่อที่เน้นเนื้อหาจัดมาก ตัวงานเป็นแบบสร้างประสบการณ์แสงสีเสียงเอ็นเนอร์จี้เต็มสตีมรอบด้านทุกองศาของแกลอรี่ เล่นใหญ่เหมือนยัดคนชมนิทรรศการให้เข้าไปอยู่ในงานเลย แต่เรากลับสงบนิ่งต้านทานอยู่ในนั้นได้ ไม่ได้รู้สึกถูกรบกวน ทั้งที่ปกติเป็นคนวอกแวกง่าย เลยคิดว่าเป็นสภาวะจิตว่างที่ได้จาก Memoria ชัวร์ๆ 🧘🏻‍♀️🌳

ชักชวนให้ไปดู

*Spoiler Alert*

Memoria (2021) — ‘boldly subtle’ จริงอย่างที่ไม่ต้องเตรียมใจ เสียงปังหนึ่งครั้งตอนเจสสิก้านั่งที่สวนในความมืดหลังจากเดินหนีหมาให้ความรู้สึกถูกคุกคาม แต่มาแบบสุภาพ ❤️ , เสียงฝนตกหนัก🌧 , จนถึงเสียงปังต่อเนื่องด้านหลังของเจสซิก้าที่โต๊ะกินข้าวระหว่างน้องสาวเล่าเรื่องคนที่หายไปอย่างลึกลับหลังบุกพื้นที่ของชนเผ่าอะมาซอน🌳 🍽 เสียงเหล่านี้ค่อยๆพาเราให้เริ่มคอนเนคกับอะไรไม่รู้ภายใน, กับ ‘แก่น’, แอบหลับตาหลายครั้งเพื่อ ‘ฟัง’

ฉากที่ชอบสุดและสำหรับเราคือ climax ของเรื่อง คือ transition (ช่วงเปลี่ยนผ่าน) รัวๆ ตั้งแต่เจสซิก้าเอียงหูเป็นแนวตั้งฟังเสียงปังต่อเนื่องที่ธารน้ำ ซึ่งมาถึงตอนนี้มันเริ่มไม่ใช่การคุกคาม อาจเพราะด้วยได้ยิ่งมันบ่อยจนชิน มันเริ่มกลายเป็นเสียงที่ร้องขอให้ช่วย! แต่ดันโดนขัดจังหวะด้วยคนถอดเกล็ดปลา(เออร์นันตอนแก่)ซะก่อน ต่อด้วยมานั่งคุยกัน ประโยคที่เออร์นันอธิบายถึงความทรงจำที่เยอะเกินไปในทุกสิ่งที่สัมผัส รู้สึกได้แม้แต่ตอนถอดเกล็ดปลาอยู่นี่ คือจุดที่เราเชื่อมโยงกับตัวเองและรู้สึกถึงการเปิดผัสสะมากที่สุด ต่อด้วยเออร์นันเล่าเรื่องราวที่จำได้จากก้อนหิน ประกอบกันไปกับการรบกวนของเสียงของธารน้ำที่ดังมากๆ จุดนี้เรา ‘แยก’ ได้แจ่มจัดชัดเจนระหว่าง ‘เรื่องราว’ กับ ‘ปัจจุบันขณะ’ ซึ่งด้วยเนื้อเรื่อง(อันน้อยนิด)ผ่านสัมผัสที่ปูมา กับคอนเซ็ปต์ในหัวเรามั้ง ที่ทาบระนาบกับผัสสะที่รับรู้ตอนนั้นได้อย่างเร็วๆ ทำให้เราไม่ได้สัมผัสเสียงธารน้ำเป็นปัจจุบันหรือ ‘present’ แต่เป็นไอเดียของ ‘Earth’ มันคือเสียงของโลก ที่ไม่เกี่ยวกับแนวคิดของเวลา มันคือสภาวะของการ ‘เป็น’ ราวกับเป็นเสียงที่มีที่มาที่ไปเดียวกับเสียงปัง แตกระแหงออก แยกย่อย เป็นเสียงของธรรมชาติแบบต่างๆ โดยเฉพาะเสียงของน้ำ (จริงๆไม่อยากจะเรียกสิ่งที่อธิบายอยู่คือการตีความ เพราะมันเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ ณ ตอนนั้น ความคิดความอ่านจากประสบการณ์ส่วนตน กับการ ‘เป็น’ มันทาบระนาบประทับกันได้ดีจนเราเชื่อว่าการตีความส่วนตัวเหล่านี้กับเรื่องราวที่เราพบในตัวเอง คือความจริง ณ ตอนนั้น) ต่อมาด้วยซีนเออร์นันนอน มันคือ Savasana จริงๆ แบบลืมตา!! ปกตินี่จะวอกแวกง่ายมากกะท่าศพห้องโยคะ เเต่ซีนนี้ ด้วยเสียงน้ำ+ภาพ+สีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าที่เคลื่อนขยับ ทำให้เราอยู่กับมัน(เรา)ได้

สภาวะส่วนตนที่พบในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างฉากของภาพยนตร์นี้ ยิงยาวไปถึงทั้งคู่กลับเข้าบ้านกัน, เสียงเงียบสนิทภายในบ้าน, เสียงฝนอีกรอบจากข้างนอก, เสียงจากทรงจำ, จนไปถึงการรับรู้ที่มาของเสียงปังจากทรงจำร่วมและฉากพบยานมนุษย์ต่างดาว ตัวเราถึงได้กลับมาพบกับการแสดงตัวตนของเนื้อเรื่องและการให้ความหมายอีกครั้งหนึ่ง

สิ่งที่เราซึมซับกลับมาหลังดู Memoria ไม่ใช่เรื่องราว หรือความหมาย แต่เป็น ‘สัมผัส’ มากกว่า สัมผัสที่สุภาพ เป็นภาพยนต์ที่ถอยหลังไป เว้นพื้นที่ให้ผู้ชมเยอะมาก แต่ก็เป็นตัวของตัวเองด้วยอย่างผ่าเผยในเวลาเดียวกัน (หวนนึกถึงนิศทรรการวิดิโอจัดวาง ‘silence’ รำลึกเหตุการณ์6ตุลา ของพี่เจ้ย ที่เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการจัดวาง ‘ประวัติศาสตร์กระจ้อยร่อย’ พาร์ท 1 ที่มีโอกาสได้ไปชมเมื่อปลายปี ที่ให้ความรู้สึกคล้ายกัน เรารู้สึกถึงความแค้นร่วมได้อย่างไม่ถูกกระชากอารมณ์ไปให้รู้สึก โดยไม่ถูกยัดเยียดว่าจะต้องโกรธแค้นร่วมจากทรงจำเก่า เพียงแต่ชวนให้รู้สึกร่วมด้วยวิธีการที่ได้ ‘แตะ’ กัน แล้วก็ซึมซับได้ลึกซึ้ง แจ่มจัดชัดเจน จากภายในตัวเราเอง ราวกับชวนไปเต้นแบบสุภาพ คงเป็นประสบการณ์ของคำว่า inter-connection จริงๆ แบบไม่หลอกกันแบบพวกlife coach ที่ยัดเยียดด้วยข้อมูล หรือโน้มน้าวด้วยการกระตุ้นและจัดการความรู้สึก — อาจด้วยเหตุผลนี้ด้วย ที่ทำให้เรา ที่นอกจากงานศิลปะจัดวางนั้นแล้ว ก็ไม่ได้เคยดูหนังของอภิชาติพงศ์สักเรื่องมาก่อน ไม่ได้รู้สึกต้องเตรียมใจก่อนเข้าไปรับชม Memoria ขนาดนั้น รู้สึกปลอดภัยพอที่จะเข้าไปปะทะแบบชิลๆ)

มีหลายตอนในเรื่องที่เดาว่าอาจตั้งใจให้อิงการตีความและแผงนัยยะ ระหว่างดูเราไม่ได้สนใจฉากเหล่านั้นขนาดนั้น และหลังจากออกจากโรงเราก็ไม่ได้เค้นที่จะคิดต่อ ปล่อยมันผ่านไป หลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราพบว่าไม่อยากตีความต่อด้วยตัวเองหรือcontaminate (เจือปน) ความประทับใจที่ได้มาด้วยความคิด อยากทิ้งไว้ให้เป็นความรู้สึกเบาๆที่ได้เชื่อมโยงกับโลก🌏 และกับตัวเอง❤️ ออกมาจิตว่าง เบาๆ จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้ 5555 สำหรับเราสิ่งที่ Memoria มอบให้จึงเป็นสภาวะมากกว่าที่จะเป็นการกดประทับให้ประทับใจด้วยเรื่องราว ความประทับใจจึงเป็นเพียงสภาวะว่างส่วนตัวมวลเบาๆ ☁️

เมื่อนึกได้ว่าอยากมีพื้นที่เก็บระยะสำหรับมวลเบานี้ไว้ เราตัดสินใจกักเก็บรวบรวมมันไว้ด้วยการบันทึก ด้วยเท่าที่ความสามารถของลายลักษณ์อักษรและภาษาจะทำได้ แต่ก็ยังอุ่นใจว่ามวลเบานี้จะไม่หายไปไหน เราพบว่าทรงจำจากประวัติศาตร์กระจ้อยร่อยของตัวเราเองนั้นเจือปนกับประวัติศาสตร์ร่วมอยู่ตลอดเวลา แม้ไม่ถูกบันทึก ก็อาจสามารถถูกพบเจออีกครั้งได้เสมอบนฝุ่นผงของพื้นที่ไร้เวลา หลังจากคิดเองเออเองได้แบบนี้จากสัมผัสแห่งการปะทะกับ Memoria เราก็กล้าที่จะแสดงตนผ่านการบันทึกพรั่งพรูนี้ โดยที่ไม่ต้องไปค้นก่อนถึงข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การปกครองในโคลอมเบียว่าสะลักสะท้อนสภาพการณ์การแห่งการสูญสิ้นเสียงและทำให้เงียบหายของประชาชนในสังคมไทยอย่างไร เรากล้าพูดอย่างอาจหาญว่ามันสลักประทับบนร่างกายเราอยู่แล้ว แม้เราเพิกเฉยและไม่รู้ แต่การ ‘เป็น’ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะพาเราไปพบ

ว่าไปแล้ว ก็ขอจบการบันทึกนี้ไว้ก่อนที่จะไปอ่านหาความหมายต่อจากรีวิวคนอื่นและบทสัมภาษณ์ที่เซฟๆไว้ในเฟสบุค 555555

รีวิวการแสดง: รู้สึกว่าโปร่งใสเป็นธรรมชาติมากๆ ไม่ได้มีคาแลคเตอร์ไหนแสดงตัวตนขนาดนั้น ไม่ได้ให้อะไรคนดูมากกว่าความเป็นธรรมชาติ และผัสสาอารมณ์ที่อยู่ในไดอะล็อคอยู่แล้ว คิดไปเองว่าอาจเป็นความตั้งใจเว้นพื้นที่ เราชอบที่เป็นแบบนั้น✨

ป.ล. มีฉากเล็กฉากน้อยอีกหลายๆจุดที่ชอบ รู้สึกว่าเป็นเหมือนเป็นโครงกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยประกอบกันเป็นโครงกว้างๆให้กับเนื้อหนังมังสาของเรื่องนี้ เช่น ตอนที่เจสสงสัยว่าซัลบาโด ดาลี (salvador dali) เทคยาแล้วหมอบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่เชื่อเด็ดขาด ต่อด้วยตัดภาพให้คนดูเห็นงานปะติมากรรมของดาลีหน้าโรงพยาบาล นั่นก็ชอบมาก 55555

🦴 🌏 💀 🌳 🌸

Image via Memoria (2021), Apichatpong Weerasethakul

--

--

Tuesday Evening
Tuesday Evening

Written by Tuesday Evening

Poet Wannabe, Post-consumerist Practitioner, Sense Experimenter, & the Devil’s Advocate. Trying to merge all into my pieces here.

No responses yet